จน เครียด กินเหล้า
ภาพข้างบน กับ คำว่า “จน เครียด กินเหล้า” เป็นโฆษณาทีวี โฆษณาหนึ่ง ที่โด่งดังมาก จนคนทั้งบ้าน ทั้งเมือง (ทั้งประเทศเลย ก็ว่าได้) จดจำได้ และเอามาพูดทั้งในทำนอง จริงจัง และในทำนองตลกๆ
โฆษณา “จน เครียด กินเหล้า” สะท้อนให้เห็นถึงวงจรชีวิตของคนๆ หนึ่ง ที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากวิกฤตความจน ของชีวิต เนื่องจากมีแต่ภาพความจน วนเวียนในหัว เมื่อมีแต่ภาพความจน เฝ้าวนเวียนอยู่ในหัว สิ่งที่ตามมาก็คือ...ความเครียด พอเครียดมากๆ ขึ้น ก็ต้องลดความเครียด...แต่วิธีการที่ลดความเครียด ดันไปใช้ยาดองของเมา ที่ถ้าหากกินแบบเบาๆ มันก็คือ “โอสถ” แต่หากซดหนักๆ มันก็คือ “ยาพิษ” ที่ทำลายร่างกาย
หากคนๆ นี้ หรือ ชายผู้นี้ (ที่นั่งอยู่ในรูป) ไม่สามารถหลุดจากวงจรอุบาว์ หรือ วงจรวิกฤตชีวิต อันเนื่องจากมาจากการมีแต่ภาพความจนในหัวกระบาลของเขา จนทำให้เขาสุดแสนจะเครียด และลดความเครียดด้วยการกินเหล้า....ชีวิตของเขาก็จะจบไม่สวย.......ตับแข็งถามหา คนรอบข้าง คือ เมีย และ ลูกชายอีกสองหน่อ...คงจะมีชีวิตที่ย่ำแย่แน่นวล
เลิกเหล้า เลิกเครียด เลิกจน
อยู่มาวันหนึ่ง ชายผู้นี้เกิดสติ...และถามตัวเองว่า ทำไมกูต้องกินเหล้าด้วยว่ะ...คล้ายๆ เหมือนเกิดดวงตาเห็นธรรม และเลิกกินเหล้าในบัดดล หลังจากนั้นชีวิตหลังเลิกเหล้า ก็เลิกเครียด เลิกจน หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ รอดพ้นจากการเข้าแถวรอ เป็นโรคตับแข็ง เมีย และลูกน้อย จะมีชีวิตที่ดีขึ้น
สติโผล่ ปัญญาผุด วิกฤตสลาย
เราจะเห็นว่า ความแตกต่างระหว่าง ทัศนคติแบบ “จน เครียด กินเหล้า” กับ ทัศนคติแบบ “เลิกเหล้า เลิกเครียด เลิกจน” ก็คือ แบบแรกจะเป็นทัศนคติแบบขาด “สติ” ขาดการ “ตั้งคำถามตัวเอง” และ แบบที่สอง จะมี “สติ” และตามมาด้วย “การตั้งคำถามตนเอง”
ภาพที่การหยุดชะงัก “การกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก” แน่นอนเกิดขึ้นจาก “สติ” ที่รู้ว่ากำลังทำอะไร ใบหน้าที่มุ่งมั่น และเชื่อว่าตนเองจะหลีกไกลจากน้ำเมาได้ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสู้ชีวิตของเขา
เมื่อ “สติโผล่” “ปัญญาก็ผุด” ผนวกกับความเชื่อ วงจรความจน ก็หยุด...แน่นอนความจนหยุด หรือ วิกฤตสลาย สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจน ก็คือ ความรวย ก็จะเริ่มก่อตัว...
จงถามตนเอง และจงเชื่อตนเอง
ลองจินตนาการดู.....ถ้าหากภาพในหัวของเรา มีแต่ภาพแห่งปัญหา หรือ มีแต่ภาพสถานการณ์วิกฤต และหมกหมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา เราก็จะกลายเป็นชายในภาพแรก....
แต่เมื่อไหร่ที่เรามีสติ แล้วเริ่มตั้งคำถามตัวเองว่า “ทำไมกูต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ว่ะ”
ณ วินาที ที่เราถามตัวเอง...ก็คือ วินาทีที่เราพยายามดึงตัวเองให้ออกจากวิกฤต (ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตอะไรก็ตามแต่)
นอกจากการถามตนเองแล้ว มันต้องมีตัวช่วยอีกตัวหนึ่ง ก็คือ “ความเชื่อ” ความเชื่ออะไรหรือ....ความเชื่อที่เราจะสามารถพาตัวเราออกจากวิกฤตนั้นได้ เพราะถ้าเอาแต่ถาม แต่ขาดความเชื่อ...มันจะขาดพลังในการดึงเราออกจากวงจรอุบาทว์
ทันทีทันใด ที่สติมา ปัญญาย่อมเกิด....ภาพในหัวที่เดิมเป็นภาพความมืดทะมึน แห่งวิกฤต...ณ บัดดลนั้น แสงสว่างก็พลันบังเกิด...วิธีการที่จะหลุดพ้น ก็เริ่มผุดขึ้นมา...ต่อจากนั้นเพิ่มพลังแห่งความเชื่อ เราก็จะสามารถเปลี่ยนวิกฤต เป็น โอกาส เปลี่ยนความจน เป็น ความรวย เปลี่ยนร้าย ให้ กลายเป็นดี
{ads_seminar}
นี่คือ กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ด้วยการใช้สติเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยน หรือ กระชากการมอง ทำให้จากทัศนคติที่เฝ้าวนเวียนนึกคำนึงถึงแต่เรื่องร้ายๆ หรือ ที่เราเรียกว่า “Fixed Mindset” ที่ชีวิตนี้ กูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มาเป็น ทัศนคติแบบ “Growth Mindset” ที่เชื่อว่าจะเปลี่ยนชีวิตที่ตกอยู่ในความมืดมิด ไปสู่ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง
ดังนั้นหากเราต้องตกอยู่ในวิกฤต โดยเฉพาะวิกฤตแห่งความจน หรือ วิกฤตอะไรก็แล้วแต่...สิ่งแรกที่เราต้องทำ ก็คือ ต้องมีสติ ว่าเรากำลังเจออะไรอยู่ ต่อจากนั้นถามตัวเองเลยว่า “ทำไมกูถึงมาอยู่ในวิกฤตนี้ว่ะ” ต่อจากนั้นบอกตัวเองว่า “กูเชื่อในตัวเองว่ากูจะออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างแน่นอน”
นี่แหละ คือ ทัศนคติแบบ ที่ทำให้รอด และกลับมารวยได้ ในช่วงวิกฤติ มันง่ายๆ แบบนี้แหละ...
Comment