เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคนอย่าง Elon Musk หรือ Jeff Bezos
ถึงสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกได้ ทั้งๆ ที่บางครั้งก็เริ่มจากศูนย์?
อะไรคือเคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จที่เหลือเชื่อของพวกเขา?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ IQ อย่างเดียวครับ
แต่มันคือ "วิธีคิด" ที่แตกต่างออกไปจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง
คนทั่วไปอาจจะเชื่อและทำตามสิ่งที่เคยทำมา
หรือสิ่งที่คนส่วนใหญ่บอกว่า "มันเป็นไปไม่ได้"
แต่คนฉลาดกลับกล้าที่จะ "ตั้งคำถาม" กับสิ่งเหล่านั้นครับ
วันนี้ผมจะพาไปเจาะลึก 4 วิธีคิดสุดเจ๋งที่ทำให้พวกเขาเป็น
"คนฉลาดไม่เหมือนใคร" กัน
วิธีคิดสุดเจ๋ง No1. First Principles Thinking:
มาเริ่มกันที่วิธีคิดแรกคือ First Principles
หรือ "การคิดจากหลักการแรกเริ่ม"
ลองนึกภาพแบบนี้ครับ เวลาเจอไม้ซีกงัดไม้ซุง
หรือปัญหาที่ดูเหมือนแก้ไม่ได้
คนทั่วไปอาจจะมองตาม "สูตรสำเร็จ" หรือ "ความเชื่อเดิมๆ"
แต่ First Principles บอกว่าให้เรา
"ลอกเปลือกของปัญหาออกจนเหลือแก่นแท้ที่เป็นความจริงที่สุด" ก่อน
ตัวอย่างที่ฮือฮาที่สุดคือ Elon Musk ครับ
ตอนที่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแพงหูฉี่
ถึง 600 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
และคงไม่มีทางลดลงได้
Elon ไม่เชื่อครับ!
เขาถามกลับไปว่า "แบตเตอรี่มันประกอบด้วยอะไรบ้าง?
แล้วราคาวัตถุดิบจริงๆ เท่าไหร่?"
สุดท้ายเขาพบว่าถ้านำวัตถุดิบมาประกอบเอง
ต้นทุนจะเหลือแค่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เท่านั้น!
นี่คือการคิดที่ย้อนกลับไปหา "หลักฟิสิกส์และวัสดุ"
แล้วสร้างวิธีแก้ใหม่จากศูนย์ ไม่ได้ยึดติดกับ "วิธีที่คนอื่นเคยทำ"
สุดยอดไหมล่ะครับ!
วิธีคิดสุดเจ๋ง No 2. Systems Thinking
มองภาพรวมอย่างเป็นระบบ
มาต่อกันที่วิธีคิดที่สอง Systems Thinking หรือ "การคิดเชิงระบบ"
ลองนึกถึงปัญหาซับซ้อนอย่างการจราจรติดขัด หรือเศรษฐกิจ
คนทั่วไปอาจจะแก้แบบ "เจอตรงไหนก็แก้ตรงนั้น"
เช่น ลดน้ำหนักด้วยการ "อดอาหาร" พอผอมแล้วก็ "โยโย่" กลับมาอ้วนใหม่
เพราะไม่ได้มองให้ครบว่า "ความหิว" ก็คือส่วนหนึ่งของระบบที่เราต้องจัดการด้วย
แต่คนที่คิดเชิงระบบจะมองเห็น "ภาพรวมของทั้งระบบ"
พวกเขาจะเข้าใจว่า "เหตุและผลไม่ได้เรียงกันเป็นเส้นตรง
แต่ถักทอกันเป็นโครงข่าย"
แล้วจะแก้ไขปัญหาที่ "ต้นตอ" ไม่ใช่แค่แก้อาการ
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ แนวคิด Flywheel ของ Amazon
ที่ริเริ่มโดย Jeff Bezos Bezos ไม่ได้มองแค่ขายหนังสือทีละเล่มครับ
แต่เขามองเห็นธุรกิจทั้งหมดเป็น "วงล้อหมุน"
ที่แต่ละส่วนจะเสริมพลังกันเองเป็นวงจร
เริ่มจากการ "ลดราคาสินค้า" ซึ่งดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
พอมีลูกค้ามาก ยอดขายก็เพิ่ม ทำให้ดึงดูดผู้ขายรายอื่นๆ เข้ามาเยอะขึ้น
พอมีผู้ขายมาก สินค้าก็หลากหลายขึ้น
Amazon ก็ใช้ทรัพยากรคุ้มค่าขึ้น ทำให้ลดราคาได้อีก!
วงจรนี้หมุนไปเรื่อยๆ ส่งเสริมกันและกัน
ทำให้ Amazon เติบโตระเบิดเถิดเทิงได้
เพราะเขาคิดทั้งกระดาน ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง
นี่คือพลังของการมอง "ป่าทั้งป่า ไม่ใช่แค่ต้นไม้ต้นเดียว"
วิธีคิดสุดเจ๋ง No.3 Lateral Thinking:
คิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์
มาถึงวิธีคิดที่สาม Lateral Thinking หรือ "การคิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์"
สมองเรามักจะคุ้นเคยกับทางเดินเดิมๆ ครับ
เวลาเจอทางตัน เราก็มักจะติดอยู่กับกฎเดิมๆ
แต่ Lateral Thinking จะกระตุ้นให้เรา
"เปลี่ยนมุมมองไปมองปัญหาในแบบที่ไม่เหมือนเดิม"
บุคคลที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้คือ Steve Jobs ครับ
เขามักจะมองเห็นมุมที่คนอื่นมองข้าม และ "เชื่อมโยงข้ามศาสตร์" ได้อย่างน่าทึ่ง
สมัยหนุ่มๆ เขาเคยไปเรียนวิชาการประดิษฐ์ตัวอักษร (Calligraphy)
ซึ่งแทบไม่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เลย
แต่ Jobs กลับนำความรู้เรื่องตัวอักษรสวยงามนี้มาใส่ใน Macintosh
ทำให้เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกๆ ที่มีฟอนต์หลายแบบสวยงามให้เลือก
ลองคิดดูสิครับ ถ้าไม่มี Jobs ที่กล้าผสมผสาน
"ศิลปะเข้ากับเทคโนโลยี" เราอาจจะไม่มีฟอนต์สวยๆ
ใช้บนคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้เลยก็ได้
นี่คือการ "ไม่ยึดติดกรอบเดิม ผสานสองโลกที่คนทั่วไปคิดว่าไม่เกี่ยวกัน"
จนเกิดสิ่งใหม่ที่โดดเด่น!
และอีกหนึ่งเรื่องเล่าสนุกๆ
ที่หลายคนคงเคยได้ยิน คือเรื่องของ NASA ที่ลงทุนหลายล้านดอลลาร์
เพื่อสร้างปากกาที่เขียนในอวกาศได้
แต่ในขณะเดียวกัน นักบินอวกาศโซเวียตแก้ปัญหาด้วยการใช้แค่ "ดินสอไม้" เท่านั้น!
แม้เรื่องจริงจะซับซ้อนกว่านั้น แต่แก่นของมันก็ทำให้เราเห็นว่า Lateral Thinking
คือการ "มองหาทางเลือกอื่นที่เราอาจคิดไม่ถึงเพราะจมอยู่กับกรอบเดิม"
และวิธีคิดสุดเจ๋ง No.4. Critical Thinking
คิดเชิงวิพากษ์อย่างมีเหตุผล
สุดท้ายแต่สำคัญมากครับ คือ Critical Thinking หรือ "การคิดเชิงวิพากษ์อย่างมีเหตุผล"
คนที่มี Critical Thinking จะไม่เชื่อหรือทำอะไรตามๆ กันเพียงเพราะ "รู้สึกว่าใช่"
หรือ "มีคนบอกมา"
แต่เขาจะ "ตั้งคำถาม" และ "ไตร่ตรองข้อมูลหลักฐานก่อนเสมอ"
ลองนึกภาพตอนเราจะซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่นะครับ
คนทั่วไปอาจจะซื้อเพราะโฆษณาว่าสวย หรือเพื่อนเชียร์ว่าดี
แต่ถ้าคุณมี Critical Thinking คุณจะไม่รีบครับ!
คุณจะ "เปรียบเทียบสเป็ก" อ่านรีวิวจากหลายแหล่ง
ดูงบประมาณ แล้วค่อยๆ "ชั่งน้ำหนักความคุ้มค่า"
ก่อนตัดสินใจ นี่แหละครับ
คือการ "แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากอารมณ์ความรู้สึก"
โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวสารไหลบ่าท่วมท้นอย่างทุกวันนี้
ความสามารถในการกลั่นกรอง "Fact กับ Opinion"
ออกจากกันได้คือเรื่องสำคัญมากครับ
คนที่ขาด Critical Thinking ก็มีแนวโน้มจะหลงเชื่อข่าวลวง
หรือตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย
การคิดเชิงวิพากษ์คือ "เกราะป้องกันไม่ให้เราถูกหลอกหรือพลาดท่าเพราะอคติส่วนตัว"
มันคือการ "เชื่อในหลักฐานมากกว่าเสียงลือ" และตัดสินใจด้วยสติและปัญญา
สรุปส่งท้าย เห็นไหมครับว่าทั้งสี่วิธีคิดนี้
ไม่ว่าจะเป็น First Principles, Systems Thinking, Lateral Thinking, หรือ Critical Thinking
ล้วนมีจุดร่วมกันคือ "การไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ และใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง"
First Principles ทำให้คุณกล้าตั้งคำถามและสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความจริง
Systems Thinking สอนให้คุณมองภาพใหญ่ เห็นความเชื่อมโยง และแก้ปัญหาที่รากเหง้า
Lateral Thinking กระตุ้นให้คุณคิดนอกกรอบ ผสมผสานไอเดียแปลกใหม่
และ Critical Thinking เตือนให้คุณใช้เหตุผล ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ
เมื่อรวมพลังกัน ทั้งสี่วิธีคิดนี้ก็เปรียบเสมือนเครื่องมือสารพัดประโยชน์ของคนฉลาด
ที่ช่วยให้พวกเขาคิดเร็ว คิดเฉียบ และคิดต่างอย่างมีคุณภาพ
คุณเองก็สามารถนำหลักคิดเหล่านี้มาฝึกใช้ในชีวิตประจำวันได้ครับ
ไม่ว่าจะในการเรียน การทำงาน หรือการตัดสินใจเรื่องสำคัญ
ลองเริ่มจาก ตั้งคำถามกับสมมติฐานเดิมๆ
มองปัญหาให้รอบด้าน หาไอเดียใหม่ๆ และ กลั่นกรองอย่างมีเหตุผล
เท่านี้คุณก็ได้ก้าวสู่การคิดแบบ "คนฉลาด" มากขึ้นอีกขั้นแล้วครับ!
เพราะสุดท้ายแล้ว คนฉลาดไม่ใช่คนที่ไม่เคยผิดพลาด
แต่คือคนที่มีวิธีคิดที่เรียนรู้จากทุกข้อเท็จจริงและมุมมอง
จนหาหนทางที่ดีที่สุดเจอ
สำหรับวันนี้ผม ต้องขอลาไปก่อน
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีครับ! "
Comment