เป็นไปได้หรือ ทำงาน 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เวลาที่เหลือเอาไว้เที่ยว

 06 ต.ค. 2564 22:59 น.    เข้าชม 1001    Entrepreneurship
เป็นไปได้หรือ ทำงาน 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เวลาที่เหลือเอาไว้เที่ยว

แค่เห็นหน้าปก ผมก็ไม่สามารถอดใจ ที่จะต้องยอมจ่ายเงิน 389 บาท เพื่อให้ได้หนังสือเล่มนี้มา

หนังสือที่มีชื่อว่า “The 4 Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก” ที่สรรค์สร้างขึ้นมาโดย

บุรุษหนุ่มที่มีนามว่า “Timothy Ferriss” หรือ ที่คนมักเรียกเขาสั้นๆ ว่า “Tim”

 

หลังจากลงทุนเป็นเงิน 389 บาท ผมก็ใช้เวลากว่า 3 วันเต็มๆ เพื่ออ่านหนังสือที่มีจำนวน 480 กว่าหน้าเล่มนี้

 

หลังจากอ่านจบ ผมพบว่า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสุดๆ เพราะแนวคิด และเทคนิคในการ “ทำน้อยแต่รวยมาก” ในหนังสือเล่มนี้ มีมูลค่านับล้าน หรือ อาจจะมากกว่า

 

เพราะอะไรผมจึงกล่าวเยี่ยงนี้ เพราะแนวคิด และเทคนิค ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของ Tim นั้น ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเขา ในการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก

 

แต่โอ้พระเจ้าจอร์จ แนวคิด และเทคนิคของเขา มัน Work ครับ

 

เข้าเรื่องกันดีกว่า

 

หนังสือเล่มนี้ พูดถึงการเป็น เศรษฐี ครับ แต่ไม่ใช่ เศรษฐี ในแบบที่เราคุ้นเคยกัน

 

มันเป็นเรื่องราวของ “เศรษฐียุคใหม่” ที่มีไลฟ์สไตล์ ในแบบที่แหกกฎ ความเป็นเศรษฐีในแบบที่เราคุ้นเคย

 

ท่านอยากรู้แล้ว ใช่ไหมครับว่า “เศรษฐียุคใหม่” คืออะไร

 

เมื่อพูดถึง เศรษฐี เราต้องนึกถึง ภาพของคนที่ทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือ ทำธุรกิจ เพื่อสร้างฐานะให้ร่ำรวย ต่อจากนั้น จึงสามารถใช้ชีวิต ในแบบที่ตนเองต้องการได้

นี่คือ ภาพความคิดของการเป็นเศรษฐี ที่เราคุ้นเคย

 

แต่ “เศรษฐียุคใหม่” มีคำจำกัดความที่สวนกระแส กับคำว่า “เศรษฐี” ในความคุ้นเคยของเราอย่างสิ้นเชิง

 

แบบว่า “เศรษฐียุคใหม่” ไม่จำเป็นจะต้องทำงานหนัก ก็สามารถใช้ชีวิต ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการได้ สามารถสร้าง “การเกษียณย่อมๆ” ได้ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องรอเกษียณ ตามกฏเกณฑ์เดิมๆ

เช่น เกษียณเมื่ออายุ 60 ปี เป็นต้น

 

ยกตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์หนึ่ง อาจจะทำงานเพียง 4 ชั่วโมง หรือ 5 ชั่วโมง หรือ 10 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์

ที่เหลือ ก็ไปทำในสิ่ง ที่สร้างความสุข ความสนุกให้กับชีวิต

 

โดยจำนวนชั่วโมงที่ทำงานนั้น เช่น 4, 5, 10 ชั่วโมง หรือ ที่ออกแบบไว้ สามารถสร้างรายได้ครอบคลุม

การใช้จ่ายทั้งหมดในชีวิตได้ และอาจจะเหลือเก็บได้อีกเยอะอีกด้วย

 

พูดง่ายๆ คือ ทำงาน ไป เที่ยว ไป อะไรทำนองนั้น

 

อ่านมาถึงจุดนี้ ท่านคงสงสัยว่า เอ้ มันทำได้จริงรึ

 

ถ้าอยากรู้ก็ต้องอ่านต่อครับ

 

Tim แนะนำ เคล็ดลับ 4 ขั้นตอน ในการเปลี่ยนตัวท่าน ให้เป็น “เศรษฐียุคใหม่” ที่เขาทำได้จริงๆ

 

ขั้นตอนที่หนึ่ง ตั้งนิยามใหม่ให้กับชีวิต

 

คำว่านิยามใหม่ของชีวิตในที่นี้ หมายถึง Mindset การใช้เวลาในการทำงาน และ การเกษียณ

 

โดยปกติแล้ว Mindset การใช้เวลาในการทำงาน ก็คือ หากเป็นมนุษย์เงินเดือน ต้องทำงานจาก 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการ ก็ไม่ต้องพูดถึง ต้องทำมากกว่านั้น นี่คือ Mindset แบบเดิม หรือ Mindset ของการเป็นเศรษฐียุคเก่า

 

มาดู Mindset ของเศรษฐียุคใหม่ ตามความหมายของ Tim กันบ้าง

 

Mindset ของเศรษฐียุคใหม่ ใช้เวลาในการทำงานให้น้อยที่สุด โดยเลือกทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด และตัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป และใช้เวลาให้น้อยที่สุดในการทำสิ่งสำคัญ โดยใช้ตัวช่วยต่างๆ ที่ในปัจจุบัน มีให้เลือกใช้มากมาย เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การ Outsource การใช้ระบบงานอัตโนมัติ และอื่นๆ เป็นต้น

 

ส่วนคำว่า “เกษียณ” ในความหมายของของเศรษฐียุคเก่า คือ การเกษียณ มีเพียงครั้งเดียว เช่น อาจจะเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี หรือ อาจจะเป็นการ “เกษียณเร็ว” คือ เกษียณก่อนกำหนด

 

แต่ในความหมายของคำว่า “เกษียณ” ของเศรษฐียุคใหม่ หมายถึง “เกษียณย่อย” คือ แบบว่า ทำงานไปด้วย เกษียณไปด้วย หรือ มันแทบจะคู่ขนาน ไปกับการทำงาน อันเนื่องจาก หลักการทำงานแบบเศรษฐียุคใหม่

 

ดังนั้นหากท่านต้องการเป็น “เศรษฐียุคใหม่” ท่านต้องปรับ Mindset ใหม่ ซึ่งผมเรียกว่า “การปฏิวัติ Mindset” กันเลยทีเดียว

 

แน่นอน ท่านต้องกล้าหาญชาญชัยมาก หากจะเปลี่ยน Mindset ที่ค่อนข้างสวนกระแสนี้

 

แต่ถ้าท่านปรับ Mindset ได้ การก้าวสู่การเป็น “เศรษฐียุคใหม่” หรือ New Rich ก็ไม่ยาก

 

ขั้นตอนที่สอง กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

 

Tim เชื่อในเรื่อง กฎของพาเรโต หรือ กฎ 20/80 ซึ่งเป็นกฎทางเศรษฐศาสตร์

แต่กฎนี้ สามารถนำมาใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต

 

สาระสำคัญของกฎ 20/80 ก็คือ 80 เปอร์เซ็นต์ของผลลัพธ์ เกิดขึ้นจากกิจกรรมสำคัญๆ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผลลัพธ์ที่เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากกิจกรรมที่ไม่สำคัญ 80 เปอร์เซ็นต์

 

เห็นไหม เข้าทาง Tim เลย นั่นคือ คนที่ต้องการเป็นเศรษฐียุคใหม่ ต้องค้นหา ให้ได้ว่า กิจกรรม 20 เปอร์เซ็นต์ใดในชีวิต ที่สร้างผลลัพธ์ 80 เปอร์เซ็นต์ และ กิจกรรม 80 เปอร์เซ็นต์ใด ที่สร้างผลลัพธ์ในชีวิตแค่ 20 เปอร์เซ็นต์

 

เมื่อท่านค้นพบแล้ว ทำไงต่อล่ะ ง่ายนิดเดียวครับ ก็ตัดไอ้เจ้า 80 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ค่อยสร้างผลลัพธ์      ออกจากชีวิตซะ

 

ต่อจากนั้น ทุ่มเทพลังกาย พลังใจ ให้เต็มที่กับกิจกรรม 20 เปอร์เซ็นต์ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ การทุ่มเทให้กิจกรรมเหล่านี้ จะช่วยสร้างผลลัพธ์ให้มากกว่าเดิมเป็นหลายๆ เท่าๆ

 

ขั้นตอนที่สาม เพิ่มความลื่นไหลให้กับชีวิต

 

ในขั้นตอนที่สามนี้ Tim แนะนำ ในสองเรื่อง คือ หนี่ง การรู้จักใช้ Outsource และ สอง ระบบทำเงินอัตโนมัติ

 

เรามาเริ่ม ที่เรื่องการ Outsource กันก่อน

 

Tim แนะนำว่า ให้แยกแยะ บรรดากิจกรรมสำคัญ 20 เปอร์เซ็นต์ ออกเป็น กิจกรรม ที่เราต้องทำด้วยตนเอง และ กิจกรรมที่ให้คนอื่นทำแทนได้ หรือ ที่เราเรียกว่า การ Outsource

 

เมื่อมีคนมา Outsource ในสิ่งที่เรา ไม่จำเป็นต้องทำได้เองแล้ว เวลาเราก็จะมากขึ้น อีกทั้งเราสามารถ Focus ในสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด อีกต่างหาก

 

มาต่อกันในเรื่อง “ระบบการทำเงินอัตโนมัติ”

 

สำหรับในเรื่อง “ระบบการทำเงินอัตโนมัติ” มีประเด็นหลักคือ

 

หนึ่ง การสร้างธุรกิจ โดยให้เริ่มที่ การเลือกตลาด ก่อนการสร้างผลิตภัณฑ์ แบบว่า Tim แนะนำว่า การจะสร้างธุรกิจ ต้องเลือกที่ลูกค้า หรือ ตลาดก่อน แล้วค่อยสร้างผลิตภัณฑ์​ จะมีความเป็นไปได้มากกว่า สร้างผลิตภัณฑ์ แล้วเลือกตลาด

 

สอง ระดมสมองเลือกผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำได้ 3 รูปแบบ คือ หนึ่ง รับมาขายต่อ, สอง จดลิขสิทธิ์สินค้า และ สาม สร้างผลิตภัณฑ์ของตนเอง

 

สาม ทดสอบผลิตภัณฑ์ หรือ Business Model ในตลาดเล็กๆ หรือ เริ่มจากเล็กๆ ก่อน

 

และสี่ขยายธุรกิจ และสร้างระบบอัตโนมัติ

 

เมื่อสามารถสร้างธุรกิจ ให้เป็นระบบอัตโนมัติได้มากที่สุด ก็จะสามารถบริหารกิจกรรมด้วยการหายตัว ซึ่งน่าจะหมายถึง ไปบริหารธุรกิจจากที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ หรือ บริหารไปเที่ยวไป อะไรทำนองนั้น

 

ขั้นตอนที่สี่ ปฏิบัติการหายตัวสำหรับมนุษย์เงินเดือน

 

ในขั้นตอนที่สี่นี้ Tim มีข้อแนะนำ สำหรับคนที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องการมีไลฟ์สไตล์แบบเศรษฐียุคใหม่ ซึ่งข้อแนะนำนี้ ออกจะมีความ Tricky หรือ มีความเจ้าเล่ห์นิดๆ

 

ข้อแนะนำนี้ เป็นขั้นตอน 5 ขั้นตอน

 

ขั้นตอนที่หนึ่ง ให้บริษัทเพิ่มการลงทุนในตัวท่าน เช่น ขอให้บริษัทส่งไปฝึกงาน ส่งไปอบรม โดยให้เหตุผลถึงประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับหากส่งท่านไปฝึกงาน หรือ อบรม

 

ขั้นตอนที่สอง พิสูจน์ให้เห็นว่าทำงานนอกบริษัทได้งานมากกว่าการต้องมาทำงานที่ Office เช่น ขอลาป่วยสัก สองวัน แต่อยู่ที่บ้าน ก็สามารถทำงานได้ผลลัพธ์ดีกว่าการทำงานที่ Office เสียอีก

 

ขั้นตอนที่สาม เตรียมแสดงให้เห็น ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่บริษัทจะได้ เช่น รวบรวมข้อมูล แล้วจัดเป็นรายงานนำเสนอหัวหน้า ว่าการทำงานนอกสถานที่ ได้ผลลัพธ์ดีกว่าทำที่ Office อย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญ

 

ขั้นตอนที่สี่ เสนอขอทดลองทำงานนอกเวลานอกสถานที่ โดยทางบริษัทสามารถเพิกถอนสิทธิ์นี้เมื่อไหร่ก็ได้ เช่น ขอทำงานนอกสถานที่ เป็นเวลา 2 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

 

ขั้นตอนที่ห้า ขยายช่วงเวลาออกไป ถ้าการทดลอง 2 วันต่อสัปดาห์ เป็นไปด้วยดี ก็อาจจะขอเป็น 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

 

สรุป

 

จำนวนเงิน หรือรายได้ที่หามาได้ อาจจะน้อย หรือ มาก ไม่ใช่เรื่องสำคัญ กับเศรษฐียุคใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ สามารถสร้างรายได้ ได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหลายแหล่ในชีวิต

 

เวลาคือต้นทุนสำคัญของ “เศรษฐียุคใหม่” โดยเวลาจะถูกใช้อย่างมีค่าไปกับกิจกรรมสำคัญในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถมีเวลาไปทำสิ่งที่สร้างความสุข และสนุกให้กับชีวิต หรือ สามารถ “เกษียณย่อยๆ” ได้ตลอดเวลา

 

ที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น คือ เนื้อหาสาระหลัก ของหนังสือเล่มนี้

 

อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ ก็คือ เรื่องราวการใช้ชีวิตของ Tim และเหล่าเศรษฐียุคใหม่ที่ Tim รู้จัก แบบว่า อ่านแล้วคล้ายๆ กับอ่านนิยายผจญภัยครับ

 

เอาล่ะครับ หากสนใจอ่านในรายละเอียด ก็ไปหาซื้ออ่านกันนะครับ

 

อย่าลืม กด Like กดแชร์ หากท่านเห็นว่า เรื่องราวเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ของท่านครับ

 

แล้วพบกันใหม่ครับ ในการรีวิวหนังสือ Best Seller เล่มต่อไป กับ ผม Strategic Man ครับ

 

ขอบคุณครับ

 

 

 

 


Comment