อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น...คุยไม่เก่ง ไม่แปลก แต่ต้องคุยให้เป็น

 22 ก.ย. 2564 22:18 น.    เข้าชม 1110    Managing Yourself
อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น...คุยไม่เก่ง ไม่แปลก แต่ต้องคุยให้เป็น

อ่ะๆๆๆๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า คำว่า “คุย” นี่ คือการคุยแบบเรื่อยเปื่อย คุยจ้อ คุยไปเรื่อย

.

คำว่า “คุย” ที่ผมที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ “อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น”

ซึ่งเขียนขึ้นมาโดยนักเขียนชาวอาทิตย์อุทัย ที่มีนามว่า “ยาซุดะ ทาคาซิ” นี้ มีความหมายว่า

“คุยอย่างมีศิลปะที่จะทำให้คู่สนทนา เปิดใจ และไว้วางใจท่าน

เพื่อเปิดทางไปสู่ประเด็นสำคัญใดๆ หรือ ผลลัพธ์ใดๆ ที่ท่านต้องการให้เกิดขึ้น หลังการสนทนานั้นจบลง”

.

นี่คือ ความหมายของคำว่า “คุยเป็น” ในหนังสือ “อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น” และเป็นหัวใจสำคัญสุดๆ ของหนังสือเล่มนี้เลยทีเดียว

.

หนังสือเล่มนี้ มีด้วยกัน ทั้งหมด 10 บท ซึ่งผมตั้งใจ มุ่งมั่น อ่านจนจบทั้ง 10 บท ภายใน 2 วัน

การอ่านอย่างตั้งใจ และมุ่งมั่น ทำให้ผมจับประเด็นสำคัญๆ ประเด็นเน้นๆ ประเด็นที่เป็นหัวใจๆ ในหนังสือเล่มนี้

.

เพื่อมาเล่า มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้นำกลเม็ด เคล็ดลับในหนังสือเล่มนี้

ไปใช้ในการเปลี่ยนตัวท่านจากคนที่คุยไม่เป็น ให้เป็น คนที่คุยเป็น

และจากคนที่ คุยเป็น อยู่แล้ว ให้เป็นมืออาชีพในการคุยเป็น

.

เอาล่ะ หากท่านพร้อมแล้ว ก็มาอ่านกันเลย

.

บทนำ

.

บุคคลชั้นนำ หรือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้

มีทั้งคนคุยเก่ง และ คุยไม่เก่ง แต่บุคคลชั้นนำเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คุยเป็น

,

การ “คุยเป็น” ก็คือ “ศิลปะในการพูดคุย ที่ดูเหมือนคุยเล่น

แต่มีความทรงพลังในการเปิดใจ และสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับคู่สนทนา

.

การเปิดใจ และการสร้างความไว้วางใจนี่เอง ที่จะสร้างการเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นสำคัญหรือผลลัพธ์ของการสนทนา

.

ยกตัวอย่างว่า การตกลงเจรจาสำคัญๆ เช่น การเจรจามูลค่าสูงๆ ทางธุรกิจ เป็นต้น

จะใช้การ “คุยเล่น” ในสถานที่ที่ไม่เป็นทางการ เช่น ไปคุยกันในสนามกอล์ฟ เป็นต้น

เพราะด้วยบรรยากาศเช่นนี้ ช่วยให้เกิดการเปิดใจ และไว้วางใจ ได้ดี

.

และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือ ทักษะการ "คุยเป็น" เหล่านี้ ฝึกฝนกันได้

.

อยากรู้ใช่ไหมว่าฝึกกันอย่างไร อ่านต่อให้จบครับ

.

คุยเล่นเป็นเห็นความสำเร็จ

.

สิ่งแรกเลย ก่อนจะคุยเล่น ต้องบอกตนเองให้ชัดว่าจะคุยไปเพื่ออะไร ต้องการผลลัพธ์อะไร

ต่อจากนั้นวางแผนการคุยให้ดี พูดง่ายๆ จะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

.

ต้องรู้จักการแนะนำตัว นำเสนอตนเองให้ได้ภายใน 1 นาที

หากท่านแนะนำได้ดี ได้กระชับ ก็ถือว่าเปิดใจ คู่สนทนาไปในระดับหนึ่ง

.

ต่อจากนั้นต้องรู้จักใช้คำพูดที่ทำให้เห็นภาพ หรือ เกิดอารมณ์ร่วม

แบบที่พวกนักแสดงตลกใช้ ที่เขาทำให้คนหัวเราะได้

(ลองไปดูรายการตลก แล้วสังเกตการณ์ใช้คำของพวกเขา)

.

ต้องรู้จักในเสียง คืออย่าใช้เสียงโทนต่ำ จะทำให้คนฟังรู้สึกหม่นหมอง ดูลึกลับ

แต่ควรจะใช้เสียงโทนสูง ที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกที่ดี

.

และต้องไม่ลืมว่า คนทุกคนในโลกนี้ ล้วนชื่นชอบคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน

.

คุยเล่นเรื่องไหนดี

.

การคุยเล่น ต้องไม่ใช่เรื่องเครียด ควรจะเป็นเรื่องเบาๆ เรื่องบวกๆ ที่ไม่ไปกระทบกับคนอื่น

.

และแน่นอน มันต้องเป็นเรื่องที่คู่สนทนาสนใจ ฟังแล้วได้ทั้งความสนุก และนำไปใช้ประโยชน์ได้

.

เพื่อให้มีหัวข้อในการคุยที่หลากหลายไว้ใน Stock ท่านจะต้องเป็นคนที่ชอบค้นคว้า ชอบอ่าน

(หากเป็นไปได้ควรศึกษาคนที่เราจะคุย ว่าเขาเป็นคนแบบไหน ชอบอย่างไร เราจะได้เตรียมเรื่องไว้คุย)

.

คุยเป็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องฟังเป็นด้วย (ฟังเป็นเห็นความสำเร็จ)

.

คนชั้นนำในโลกนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาอาชีพอะไรก็ตาม

ล้วนเป็นนักฟังชั้นเลิศ ดังนั้นนอกจากคุยเป็นแล้ว หากท่านต้องการเป็นคนชั้นนำ

หรือ บุคคลแนวหน้า ท่านต้องฟังเป็นอีกด้วย

.

เมื่อท่านฟังเป็น ท่านจะสามารถตอบรับบทสนทนากับคู่สนทนาให้เกิดความรู้สึกร่วมได้

รวมไปถึงการต่อยอดการสนทนาให้เกิดความลื่นไหล ไม่สะดุด

.

ในการฟัง ท่านจะต้องแสดงออกถึงความอ่อนโยนผ่านสายตาของท่าน

.

ท่านจะต้องรู้จักการตั้งคำถามกับคู่สนทนา ที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกดี และในการถามต้องถามอย่างกระตือรือร้น

.

แต่คำถามต้องห้าม เช่น คำว่า “ทำไมล่ะ” อย่านำมาใช้หากไม่จำเป็น เพราะจะทำให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัด

.

และ ท่านจะเป็นสุดยอดนักฟัง ทันที หากท่านรู้จักจดโน้ต ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในระหว่างการสนทนา ซึ่งสามารถนำมาเป็นประเด็น หรือ คำสำคัญที่จะใช้เชื่อมโยงไปสู่การสนทนา หรือ การคุยที่ออกรส ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม.....หรือ ครั้งต่อๆ ไป

.

สนิทกันทันทีที่เจอกัน

.

ทำไมบางคนที่เราเพิ่งเคยเจอ เราจึงรู้สึกสนิททันที แต่บางคนแทบไม่อยากจะรู้จัก

ความรู้สึกเหล่านี้ เกิดขึ้นภายในเวลา 2 วินาที ที่คนสองคนพบกัน

.

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

.

ภาษาพูด ที่หลุดออกมาจากปาก และภาษากาย หรือ Body language เช่น สีหน้า การแต่งตัว ท่าทาง มีผลต่อการตีความของสมองของคู่สนทนาทั้งสิ้น ที่นำไปสู่การเปิด หรือ ปิดใจ

.

ดังนั้น การใช้คำพูด และภาษากายที่แสดงออกจะต้องสร้างความรู้สึกที่ดี ที่น่าสนิทสนม น่าไว้ใจให้เกิดขึ้น

.

หากท่านสามารถผ่านด่าน 2 วินาที มาได้ ก็โอเค

.

ท่านสามารถใช้การพูดแบบเว่อร์นิดๆ โม้หน่อยๆ มาช่วยดึงดูดความสนใจของคู่สนทนา

.

แต่ที่แน่ๆ ท่านต้องถ่อมตัว หรือ แม้บางครั้งก็อาจต้องตำหนิตนเองให้เป็น

สิ่งนี้จะทำให้คู่สนทนารู้สึกดีกับท่าน

.

แบบครั้งท่านอาจจะแสดงความชื่นชมเขา ในลักษณชมแบบพึมพำ ซึ่งจะทำให้คู่สนทนาชื่นชอบมากกว่าการชมกันแบบตรงๆ

.

หรือไม่ หลังการสนทนาอาจจะบอกว่า “ขอเป็นแฟนคลับได้ไหม” อะไรประมาณนั้น

.

ห่างกันแต่ใจไม่ห่าง

.

ถ้าแม้ว่าการคุยเล่นในครั้งแรก จะเป็นไปด้วยดี แต่หากเวลาผ่านไป

ความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ อาจจางหายไปไม่มากก็น้อย

ดังนั้น ท่านต้องรู้เทคนิคในการสร้างการต่อติดความสัมพันธ์ได้ในทันที

ถึงแม้ว่าจะห่างหายกันไปสักพักแล้ว

.

ยกตัวอย่างเช่น ให้ใช้คำพูด “ผมได้ลองแบบที่คุณเคยแนะนำแล้ว”

.

หรือ ท่านอาจจะมีของฝากติดไม้ ติดมือ มาฝาก แต่ของฝากไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้องมีคุณค่า

เช่น ของที่คู่สนทนาไม่สามารถหาซื้อได้ในที่ ที่เขาพักอาศัย แต่ท่านสามารถหามาให้เขาได้ เป็นต้น

.

ที่เด็ดๆ ที่สุด คือ เวลานึกถึงคู่สนทนา ให้นึกถึงแบบดีๆ คุยถึงเขาดีๆ สิ่งนี้จะช่วยสร้าง Mindset บวกๆ เกี่ยวกับตัวเขาให้เกิดขึ้นในใจท่าน เวลามาเจอกันความรู้สึกเหล่านี้ จะเปล่งประกายออกมาจากตัวท่าน ทำให้คู่สนทนารู้สึกได้

.

ปรับการคุยเล่นให้สอดคล้องกับประเภทของคน

.

ดังที่กล่าวไปแล้ว ว่าท่านสื่อสารเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ท่านต้องการ

โดยเริ่มต้นจากการ “คุยเล่น” และต่อจากนั้นค่อยนำคู่สนทนาเข้าสู่ประเด็นสำคัญ

หลังจากที่การคุยเล่นทำให้เขาเปิดใจ และไว้วางใจเราแล้ว

.

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการคุยเล่น จะต้องมีความอ่อนตัว ในคนแต่ละประเภท

เช่น คนใจร้อน อาจจะต้องใช้เทคนิคที่อาจจะไม่เหมือนกับคนใจเย็น หรือ คนขี้เกรงใจ

หรือ บางครั้งท่านไปเจอคนที่ชอบคุย คือไม่ใช่คุยเล่น แต่คุยไปเรื่อย

ท่านก็ต้องปรับการคุยเล่นของท่าน เพื่อสามารถดึงเขาเข้าประเด็นสำคัญของการสนทนาให้ได้

.

เข้าประเด็นสำคัญอย่างใรให้ดูเนียน

.

ดังที่บอกไปแล้วว่า บุคคลชั้นนำ หรือ คนที่ประสบความสำเร็จ เขาใช้การ “คุยเล่น” เพื่อเปิดใจ และสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับตัวเขา ก่อนที่จะนำคู่สนทนาเข้าสู่ประเด็นสำคัญที่เป็นผลลัพธ์ของการสื่อสาร หรือ การสนทนา

.

และนำคู่สนทนา เข้าไปสู่ประเด็นสำคัญของการสนทนา ถือว่าเป็นจุดอันตราย หรือ Critical point สุดๆ เพราะหากการนำคู่สนทนาเข้าสู่ประเด็นสำคัญไม่เนียนพอ ความไว้วางใจอาจจะหดหาย ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของการสื่อสารได้

.

ผู้เขียนได้แนะนำ เทคนิคที่น่าสนใจมากๆ เช่น อย่าพูดคำว่า “ว่าแต่วันนี้” เป็นต้น

หรือ จะต้องหาจุดเชื่อมโยงเพื่อเข้าสู่ประเด็นสำคัญให้ได้

หรือ ก่อนเข้าประเด็นสำคัญ อ่านจะเว้นวรรคการสนทนาสักอึดใจหนึ่ง เพื่อให้คู่สนทนาเกิดความอยากรู้

หรือ บอกเลยว่า “ผมมีเรื่องสำคัญมานำเสนอท่าน สามเรื่องครับ/ค่ะ”

.

และใช้เวลาสรุปภาพรวมเรื่องเหล่านี้ ในเวลาไม่เกิน 10 วินาที ก่อนที่จะลงรายละเอียด

ในระหว่างรอคำตอบจากคู่สนทนา ให้รอคำตอบด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน

เพื่อไม่ทำให้คู่สนทนาเกิดความอึดอัด

.

ฝึกวิทยายุทธการ “คุยเล่น”

.

คุณยาซุดะ ทาคาซิ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้แนะนำเทคนิคในการฝึกการคุยเล่น

หรือ เทคนิคการเปิดใจ และสร้างความไว้วางใจ ไว้ 10 ระดับ

.

ระดับที่ 1: ทักทายคนแปลกหน้า เช่น เวลาขึ้นลิฟท์ ให้ถามคนอื่นๆ ที่ขึ้นลิฟท์ว่า “ไปชั้นไหนครับ” พร้อมกดลิฟท์ให้เขาด้วย

.

ระดับที่ 2: คุยกับพนักงาน เช่น พนักงานเสริฟ์อาหาร เวลาที่เขามาเก็บเงิน เช่น “อาหารอร่อยมากครับ ผมมั่นใจว่าผมต้องมาทานอาหารที่ร้านคุณอีกแน่นอนครับ”

.

ระดับที่ 3: เรียกพนักงานเสิรฟ์ด้วยเสียงที่กังวาน ไม่ดัง ไม่เบา มากเกินไป แต่พนักงานเสริฟ์ได้ยิน ถึงแม้ว่าในร้านจะมีเสียงดังมาก

.

ระดับที่ 4: ลองไปงานเลี้ยงที่เราไม่รู้จักใครเลย แล้วลองฝึก “คุยเล่น” กับคนที่เราไม่รู้จัก

.

ระดับที่ 5: ลองคุยเล่นกับเพื่อนที่เราไม่ชอบหน้า

.

ระดับที่ 6: ฝึกเล่าเรื่องให้เพื่อนที่ทำงานฟัง

.

ระดับที่ 7: ฝึกการสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ ด้วยการเปรียบเทียบ เช่น การเปรียบเทียบที่ทำให้เกิดอารมณ์ขัน อารมณ์สนุก เป็นต้น (ผมแนนำให้ลองไปฟังโน๊ต อุดม)

.

ระดับที่ 8: ฝึกพูดในงาน หรือ เป็นพิธีกร

.

สรุป

.

นี่คือ เนื้อหาทั้งหมดที่ผมสรุปจากหนังสือ “อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น” ของ คุณยาซุดะ ทาคาชิ

แน่นอนครับ มันอาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามรายละเอียดทั้งหมดที่มีอยู่ในหนังสือ

.

แต่อย่างน้อย ผมก็สรุปแบบความคิดรวบยอด ในสไตล์ Strategic Man นั่นคือ

.

เวลาที่เราจะสื่อสารอะไรกับใครเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ

เราต้องเริ่มต้นการสื่อสารที่ทำให้คู่สนทนาของเรา “เปิดใจ” และ “ไว้วางใจ” ในตัวเรา

ด้วยการใช้การ “คุยเล่น” ต่อจากนั้นจึงนำเข้าสู่ประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่เกิดผลลัพธ์ที่เราต้องการ

.

อย่างไรก็ตาม การสร้างทักษะในการคุยเล่นนั้น ต้องเข้าใจทั้งศาสตร์ และ ศิลปะ

ในส่วนของศาสตร์ ความเข้าใจในหลักการ เช่น ทฤษฏีการสื่อสาร

และ ในส่วนของ ศิลปะ ก็คือ การนำศาสตร์นี้ไปใช้ ซึ่งสามารถสร้างขึ้นมาได้ในทุกๆ คน

ด้วยการฝึกฝนตนเอง ตามเทคนิคที่คุณ ยาซุดะ ทาคาชิ ได้ถ่ายทอดไว้ในหนังสือเล่มนี้

 

 


Comment