อ่ะๆๆๆๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า คำว่า “คุย” นี่ คือการคุยแบบเรื่อยเปื่อย คุยจ้อ คุยไปเรื่อย
.
คำว่า “คุย” ที่ผมที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ “อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น”
ซึ่งเขียนขึ้นมาโดยนักเขียนชาวอาทิตย์อุทัย ที่มีนามว่า “ยาซุดะ ทาคาซิ” นี้ มีความหมายว่า
“คุยอย่างมีศิลปะที่จะทำให้คู่สนทนา เปิดใจ และไว้วางใจท่าน
เพื่อเปิดทางไปสู่ประเด็นสำคัญใดๆ หรือ ผลลัพธ์ใดๆ ที่ท่านต้องการให้เกิดขึ้น หลังการสนทนานั้นจบลง”
.
นี่คือ ความหมายของคำว่า “คุยเป็น” ในหนังสือ “อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น” และเป็นหัวใจสำคัญสุดๆ ของหนังสือเล่มนี้เลยทีเดียว
.
หนังสือเล่มนี้ มีด้วยกัน ทั้งหมด 10 บท ซึ่งผมตั้งใจ มุ่งมั่น อ่านจนจบทั้ง 10 บท ภายใน 2 วัน
การอ่านอย่างตั้งใจ และมุ่งมั่น ทำให้ผมจับประเด็นสำคัญๆ ประเด็นเน้นๆ ประเด็นที่เป็นหัวใจๆ ในหนังสือเล่มนี้
.
เพื่อมาเล่า มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้นำกลเม็ด เคล็ดลับในหนังสือเล่มนี้
ไปใช้ในการเปลี่ยนตัวท่านจากคนที่คุยไม่เป็น ให้เป็น คนที่คุยเป็น
และจากคนที่ คุยเป็น อยู่แล้ว ให้เป็นมืออาชีพในการคุยเป็น
.
เอาล่ะ หากท่านพร้อมแล้ว ก็มาอ่านกันเลย
.
บทนำ
.
บุคคลชั้นนำ หรือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้
มีทั้งคนคุยเก่ง และ คุยไม่เก่ง แต่บุคคลชั้นนำเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คุยเป็น
,
การ “คุยเป็น” ก็คือ “ศิลปะในการพูดคุย ที่ดูเหมือนคุยเล่น
แต่มีความทรงพลังในการเปิดใจ และสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับคู่สนทนา
.
การเปิดใจ และการสร้างความไว้วางใจนี่เอง ที่จะสร้างการเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นสำคัญหรือผลลัพธ์ของการสนทนา
.
ยกตัวอย่างว่า การตกลงเจรจาสำคัญๆ เช่น การเจรจามูลค่าสูงๆ ทางธุรกิจ เป็นต้น
จะใช้การ “คุยเล่น” ในสถานที่ที่ไม่เป็นทางการ เช่น ไปคุยกันในสนามกอล์ฟ เป็นต้น
เพราะด้วยบรรยากาศเช่นนี้ ช่วยให้เกิดการเปิดใจ และไว้วางใจ ได้ดี
.
และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือ ทักษะการ "คุยเป็น" เหล่านี้ ฝึกฝนกันได้
.
อยากรู้ใช่ไหมว่าฝึกกันอย่างไร อ่านต่อให้จบครับ
.
คุยเล่นเป็นเห็นความสำเร็จ
.
สิ่งแรกเลย ก่อนจะคุยเล่น ต้องบอกตนเองให้ชัดว่าจะคุยไปเพื่ออะไร ต้องการผลลัพธ์อะไร
ต่อจากนั้นวางแผนการคุยให้ดี พูดง่ายๆ จะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
.
ต้องรู้จักการแนะนำตัว นำเสนอตนเองให้ได้ภายใน 1 นาที
หากท่านแนะนำได้ดี ได้กระชับ ก็ถือว่าเปิดใจ คู่สนทนาไปในระดับหนึ่ง
.
ต่อจากนั้นต้องรู้จักใช้คำพูดที่ทำให้เห็นภาพ หรือ เกิดอารมณ์ร่วม
แบบที่พวกนักแสดงตลกใช้ ที่เขาทำให้คนหัวเราะได้
(ลองไปดูรายการตลก แล้วสังเกตการณ์ใช้คำของพวกเขา)
.
ต้องรู้จักในเสียง คืออย่าใช้เสียงโทนต่ำ จะทำให้คนฟังรู้สึกหม่นหมอง ดูลึกลับ
แต่ควรจะใช้เสียงโทนสูง ที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกที่ดี
.
และต้องไม่ลืมว่า คนทุกคนในโลกนี้ ล้วนชื่นชอบคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
.
คุยเล่นเรื่องไหนดี
.
การคุยเล่น ต้องไม่ใช่เรื่องเครียด ควรจะเป็นเรื่องเบาๆ เรื่องบวกๆ ที่ไม่ไปกระทบกับคนอื่น
.
และแน่นอน มันต้องเป็นเรื่องที่คู่สนทนาสนใจ ฟังแล้วได้ทั้งความสนุก และนำไปใช้ประโยชน์ได้
.
เพื่อให้มีหัวข้อในการคุยที่หลากหลายไว้ใน Stock ท่านจะต้องเป็นคนที่ชอบค้นคว้า ชอบอ่าน
(หากเป็นไปได้ควรศึกษาคนที่เราจะคุย ว่าเขาเป็นคนแบบไหน ชอบอย่างไร เราจะได้เตรียมเรื่องไว้คุย)
.
คุยเป็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องฟังเป็นด้วย (ฟังเป็นเห็นความสำเร็จ)
.
คนชั้นนำในโลกนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาอาชีพอะไรก็ตาม
ล้วนเป็นนักฟังชั้นเลิศ ดังนั้นนอกจากคุยเป็นแล้ว หากท่านต้องการเป็นคนชั้นนำ
หรือ บุคคลแนวหน้า ท่านต้องฟังเป็นอีกด้วย
.
เมื่อท่านฟังเป็น ท่านจะสามารถตอบรับบทสนทนากับคู่สนทนาให้เกิดความรู้สึกร่วมได้
รวมไปถึงการต่อยอดการสนทนาให้เกิดความลื่นไหล ไม่สะดุด
.
ในการฟัง ท่านจะต้องแสดงออกถึงความอ่อนโยนผ่านสายตาของท่าน
.
ท่านจะต้องรู้จักการตั้งคำถามกับคู่สนทนา ที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกดี และในการถามต้องถามอย่างกระตือรือร้น
.
แต่คำถามต้องห้าม เช่น คำว่า “ทำไมล่ะ” อย่านำมาใช้หากไม่จำเป็น เพราะจะทำให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัด
.
และ ท่านจะเป็นสุดยอดนักฟัง ทันที หากท่านรู้จักจดโน้ต ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในระหว่างการสนทนา ซึ่งสามารถนำมาเป็นประเด็น หรือ คำสำคัญที่จะใช้เชื่อมโยงไปสู่การสนทนา หรือ การคุยที่ออกรส ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม.....หรือ ครั้งต่อๆ ไป
.
สนิทกันทันทีที่เจอกัน
.
ทำไมบางคนที่เราเพิ่งเคยเจอ เราจึงรู้สึกสนิททันที แต่บางคนแทบไม่อยากจะรู้จัก
ความรู้สึกเหล่านี้ เกิดขึ้นภายในเวลา 2 วินาที ที่คนสองคนพบกัน
.
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
.
ภาษาพูด ที่หลุดออกมาจากปาก และภาษากาย หรือ Body language เช่น สีหน้า การแต่งตัว ท่าทาง มีผลต่อการตีความของสมองของคู่สนทนาทั้งสิ้น ที่นำไปสู่การเปิด หรือ ปิดใจ
.
ดังนั้น การใช้คำพูด และภาษากายที่แสดงออกจะต้องสร้างความรู้สึกที่ดี ที่น่าสนิทสนม น่าไว้ใจให้เกิดขึ้น
.
หากท่านสามารถผ่านด่าน 2 วินาที มาได้ ก็โอเค
.
ท่านสามารถใช้การพูดแบบเว่อร์นิดๆ โม้หน่อยๆ มาช่วยดึงดูดความสนใจของคู่สนทนา
.
แต่ที่แน่ๆ ท่านต้องถ่อมตัว หรือ แม้บางครั้งก็อาจต้องตำหนิตนเองให้เป็น
สิ่งนี้จะทำให้คู่สนทนารู้สึกดีกับท่าน
.
แบบครั้งท่านอาจจะแสดงความชื่นชมเขา ในลักษณชมแบบพึมพำ ซึ่งจะทำให้คู่สนทนาชื่นชอบมากกว่าการชมกันแบบตรงๆ
.
หรือไม่ หลังการสนทนาอาจจะบอกว่า “ขอเป็นแฟนคลับได้ไหม” อะไรประมาณนั้น
.
ห่างกันแต่ใจไม่ห่าง
.
ถ้าแม้ว่าการคุยเล่นในครั้งแรก จะเป็นไปด้วยดี แต่หากเวลาผ่านไป
ความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ อาจจางหายไปไม่มากก็น้อย
ดังนั้น ท่านต้องรู้เทคนิคในการสร้างการต่อติดความสัมพันธ์ได้ในทันที
ถึงแม้ว่าจะห่างหายกันไปสักพักแล้ว
.
ยกตัวอย่างเช่น ให้ใช้คำพูด “ผมได้ลองแบบที่คุณเคยแนะนำแล้ว”
.
หรือ ท่านอาจจะมีของฝากติดไม้ ติดมือ มาฝาก แต่ของฝากไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้องมีคุณค่า
เช่น ของที่คู่สนทนาไม่สามารถหาซื้อได้ในที่ ที่เขาพักอาศัย แต่ท่านสามารถหามาให้เขาได้ เป็นต้น
.
ที่เด็ดๆ ที่สุด คือ เวลานึกถึงคู่สนทนา ให้นึกถึงแบบดีๆ คุยถึงเขาดีๆ สิ่งนี้จะช่วยสร้าง Mindset บวกๆ เกี่ยวกับตัวเขาให้เกิดขึ้นในใจท่าน เวลามาเจอกันความรู้สึกเหล่านี้ จะเปล่งประกายออกมาจากตัวท่าน ทำให้คู่สนทนารู้สึกได้
.
ปรับการคุยเล่นให้สอดคล้องกับประเภทของคน
.
ดังที่กล่าวไปแล้ว ว่าท่านสื่อสารเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ท่านต้องการ
โดยเริ่มต้นจากการ “คุยเล่น” และต่อจากนั้นค่อยนำคู่สนทนาเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
หลังจากที่การคุยเล่นทำให้เขาเปิดใจ และไว้วางใจเราแล้ว
.
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการคุยเล่น จะต้องมีความอ่อนตัว ในคนแต่ละประเภท
เช่น คนใจร้อน อาจจะต้องใช้เทคนิคที่อาจจะไม่เหมือนกับคนใจเย็น หรือ คนขี้เกรงใจ
หรือ บางครั้งท่านไปเจอคนที่ชอบคุย คือไม่ใช่คุยเล่น แต่คุยไปเรื่อย
ท่านก็ต้องปรับการคุยเล่นของท่าน เพื่อสามารถดึงเขาเข้าประเด็นสำคัญของการสนทนาให้ได้
.
เข้าประเด็นสำคัญอย่างใรให้ดูเนียน
.
ดังที่บอกไปแล้วว่า บุคคลชั้นนำ หรือ คนที่ประสบความสำเร็จ เขาใช้การ “คุยเล่น” เพื่อเปิดใจ และสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับตัวเขา ก่อนที่จะนำคู่สนทนาเข้าสู่ประเด็นสำคัญที่เป็นผลลัพธ์ของการสื่อสาร หรือ การสนทนา
.
และนำคู่สนทนา เข้าไปสู่ประเด็นสำคัญของการสนทนา ถือว่าเป็นจุดอันตราย หรือ Critical point สุดๆ เพราะหากการนำคู่สนทนาเข้าสู่ประเด็นสำคัญไม่เนียนพอ ความไว้วางใจอาจจะหดหาย ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของการสื่อสารได้
.
ผู้เขียนได้แนะนำ เทคนิคที่น่าสนใจมากๆ เช่น อย่าพูดคำว่า “ว่าแต่วันนี้” เป็นต้น
หรือ จะต้องหาจุดเชื่อมโยงเพื่อเข้าสู่ประเด็นสำคัญให้ได้
หรือ ก่อนเข้าประเด็นสำคัญ อ่านจะเว้นวรรคการสนทนาสักอึดใจหนึ่ง เพื่อให้คู่สนทนาเกิดความอยากรู้
หรือ บอกเลยว่า “ผมมีเรื่องสำคัญมานำเสนอท่าน สามเรื่องครับ/ค่ะ”
.
และใช้เวลาสรุปภาพรวมเรื่องเหล่านี้ ในเวลาไม่เกิน 10 วินาที ก่อนที่จะลงรายละเอียด
ในระหว่างรอคำตอบจากคู่สนทนา ให้รอคำตอบด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน
เพื่อไม่ทำให้คู่สนทนาเกิดความอึดอัด
.
ฝึกวิทยายุทธการ “คุยเล่น”
.
คุณยาซุดะ ทาคาซิ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้แนะนำเทคนิคในการฝึกการคุยเล่น
หรือ เทคนิคการเปิดใจ และสร้างความไว้วางใจ ไว้ 10 ระดับ
.
ระดับที่ 1: ทักทายคนแปลกหน้า เช่น เวลาขึ้นลิฟท์ ให้ถามคนอื่นๆ ที่ขึ้นลิฟท์ว่า “ไปชั้นไหนครับ” พร้อมกดลิฟท์ให้เขาด้วย
.
ระดับที่ 2: คุยกับพนักงาน เช่น พนักงานเสริฟ์อาหาร เวลาที่เขามาเก็บเงิน เช่น “อาหารอร่อยมากครับ ผมมั่นใจว่าผมต้องมาทานอาหารที่ร้านคุณอีกแน่นอนครับ”
.
ระดับที่ 3: เรียกพนักงานเสิรฟ์ด้วยเสียงที่กังวาน ไม่ดัง ไม่เบา มากเกินไป แต่พนักงานเสริฟ์ได้ยิน ถึงแม้ว่าในร้านจะมีเสียงดังมาก
.
ระดับที่ 4: ลองไปงานเลี้ยงที่เราไม่รู้จักใครเลย แล้วลองฝึก “คุยเล่น” กับคนที่เราไม่รู้จัก
.
ระดับที่ 5: ลองคุยเล่นกับเพื่อนที่เราไม่ชอบหน้า
.
ระดับที่ 6: ฝึกเล่าเรื่องให้เพื่อนที่ทำงานฟัง
.
ระดับที่ 7: ฝึกการสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ ด้วยการเปรียบเทียบ เช่น การเปรียบเทียบที่ทำให้เกิดอารมณ์ขัน อารมณ์สนุก เป็นต้น (ผมแนนำให้ลองไปฟังโน๊ต อุดม)
.
ระดับที่ 8: ฝึกพูดในงาน หรือ เป็นพิธีกร
.
สรุป
.
นี่คือ เนื้อหาทั้งหมดที่ผมสรุปจากหนังสือ “อย่าเป็นคนเก่ง ที่คุยไม่เป็น” ของ คุณยาซุดะ ทาคาชิ
แน่นอนครับ มันอาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามรายละเอียดทั้งหมดที่มีอยู่ในหนังสือ
.
แต่อย่างน้อย ผมก็สรุปแบบความคิดรวบยอด ในสไตล์ Strategic Man นั่นคือ
.
เวลาที่เราจะสื่อสารอะไรกับใครเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ
เราต้องเริ่มต้นการสื่อสารที่ทำให้คู่สนทนาของเรา “เปิดใจ” และ “ไว้วางใจ” ในตัวเรา
ด้วยการใช้การ “คุยเล่น” ต่อจากนั้นจึงนำเข้าสู่ประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่เกิดผลลัพธ์ที่เราต้องการ
.
อย่างไรก็ตาม การสร้างทักษะในการคุยเล่นนั้น ต้องเข้าใจทั้งศาสตร์ และ ศิลปะ
ในส่วนของศาสตร์ ความเข้าใจในหลักการ เช่น ทฤษฏีการสื่อสาร
และ ในส่วนของ ศิลปะ ก็คือ การนำศาสตร์นี้ไปใช้ ซึ่งสามารถสร้างขึ้นมาได้ในทุกๆ คน
ด้วยการฝึกฝนตนเอง ตามเทคนิคที่คุณ ยาซุดะ ทาคาชิ ได้ถ่ายทอดไว้ในหนังสือเล่มนี้
Comment