การตลาดยุคใหม่ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก

 06 ก.ค. 2564 16:12 น.    เข้าชม 1257    Entrepreneurship
การตลาดยุคใหม่ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก

ขายอะไร ก็ขายดี ถ้าเข้าใจคำว่า "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"

ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจในยุคนี้...หรือ ..

ทำธุรกิจในยุคไหนก็ตาม


สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้น ย่อมหนีไม่พ้น

ทำอย่างไรให้ขายดี

เพราะถ้าทำธุรกิจ แล้วขายไม่ดี

หรือขายไม่ได้

แล้วจะทำธุรกิจไปเพื่ออะไร


วิธีที่ทำให้ขายดีนั้น

แน่นอนสินค้า/บริการก็ต้องดี

และต้องทำให้สินค้า/บริการนั้นเป็นที่รู้จัก

ด้วยการใช้การตลาด และการขาย

เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการขาย


ธุรกิจใหญ่ๆ มีงบเยอะ

ก็สามารถทุ่มโมษณาผ่านในทุกช่องทาง

โดยเฉพาะในยุคนี้ ช่องทางที่ขาดไม่ได้

คือ ช่องทางอินเทอร์เน็ต เช่น Social Media ทั้งหลายแหล่


ธุรกิจเล็กๆ ก็เสียเปรียบหน่อย

ไม่ค่อยมีตังค์ จะทำแบบธุรกิจใหญ่ๆ

คงจะลำบากน่าดู

แต่โชคดีที่เกิดมาในโลกยุคดิจิทัล

ในยุคที่ Social Media ครองโลก

ทำให้ในปัจจุบันเราสามารถใช้สิ่งที่เรียกว่า

Content Marketing ที่ใช้ต้นทุนต่ำ

และใช้การเผยแพร่ Content เหล่านี้

ผ่านทาง Social Media แบบที่ไม่ต้องเสียตังค์

หรือเสียน้อยมว้ากๆๆๆๆๆ

เช่น Facebook, Youtube Tiktok, Instagram

และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะตาแป๊ะไก๋ เต็มไปหมด

แค่เรารู้จักเลือกใช้ให้สอคล้องกับ

กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือ Branding ของเรา


แต่สิ่งที่ผมพูดถึงข้างต้น

ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องธรรมด้า ธรรมดา สุดแสนจะ Basic

ที่ทุกวันนี้ เหล่าบรรดานักธุรกิจออนไลน์

ทั้งเก่า และใหม่ ต่างต้องรู้ และเข้าใจ


แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ในบทความสั้นของผมในวันนี้ ก็คือ

"การตลาดยุคใหม่ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"


จริงๆ แล้ว คำว่า "การให้" นี้

เป็นคำที่มีมาเนิ่นนานเคียงคู่อยู่กับการดำรงอยู่ของมนุษย์ขี้เหม็น เอ้ย มนุษย์ชาติเลยทีเดียว


แต่มันกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องใหม่

ในมิติของการตลาดในโลกยุคดิจิทัล


เพราะอะไร "การตลาดยุคใหม่" จึงเน้นที่การให้


ถ้าท่านย้อนกลับไปดูบรรทัดบนๆ

มีคำพูดคำหนึ่ง ที่ผมพูดว่า "Content Marketing"

ตอนนี้ ใครๆ ก็ทำ Content Marketing

แล้วอะไรคือความแตกต่างล่ะ


คำตอบก็คือ "Content" หรือ "เนื้อหา"

ที่ Marketing ออกไปนั้น

มีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน

ในการช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า


จากประสบการณ์จากการเป็นนักธุรกิจออนไลน์

ที่เน้นการขายความรู้ และประสบการณ์

ในการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องการใช้ชีวิตและทำธุรกิจ

ผมแบ่งระดับการให้ออกแบบ 3 ระดับ


ระดับที่หนึ่ง คือ การให้ที่ช่วยให้เขา (ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย) รู้ว่าปัญหาของตนเองคืออะไร

เราเรียกกลุ่มลูกค้าประเภทนี้ว่า "Cold"

ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ว่า ในโลกนี้

มีผู้คนมากมายที่ไม่รู้ว่า

ปัญหาที่ตนเองกำลังประสบอยู่คืออะไร

เมื่อไม่รู้ว่าตนเองกำลังประสบกับปัญหาอะไรอยู่

ชีวิตจึงวนเวียนอยู่กับปัญหา

ที่เขาคิดว่ามันไม่ใชปัญหา

(อาจจะอยู่จนชิน)

การที่เราช่วยชี้ให้เขาเห็นปัญหา

คือการให้ระดับที่ หนึ่ง


ระดับที่สอง คือ การให้ที่ทำให้เขาตัดสินใจได้

ว่าเขาจะแก้ไขปัญหาเขาด้วยวิธีไหน หรือ แก้ไขอย่างไร

เราเรียกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มนี้ว่า "Warm"

การให้ของเราเปรียบได้กับการทำให้ กลุ่ม "Warm"

ได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั่นเอง

หรือ รู้สึก "โล่งอก"

คล้ายกับเวลาที่ท่านประสบปัญหาใด

{ads_seminar}

แล้วท่านได้พบวิธีแก้ปัญหา

ทันใดนั้น ท่านก็จะถอนหายใจ "เฮ้อๆๆ"

(ถ้าเป็น อคามีดิส จะร้องว่า "ยูเรก้า"

ในตอนที่เขาพบวิธีชั่งน้ำหนัก)

แล้วพูดกับตนเองว่า "กูรอดแล้วโว้ยๆๆๆ"


ระดับที่สาม ให้แบบเพื่อนให้เพื่อน

หลังจากที่ชัดเจนกับวิธีการแก้ไขปัญหา

จากระดับที่สองแล้ว

ลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งเราจะเรียกว่าว่า กลุ่ม "Hot"

จะตัดสินใจซื้อ สินค้า/บริการจากเรา

แต่เราก็จะไม่หยุดให้...

เพราะลูกค้ากลุ่ม "Hot" คือ #เพื่อน

ดังนั้นเราจะให้เพื่อนๆ ได้พบกับสิ่งดีๆ

เมื่อเพื่อนได้สิ่งดีๆ จากเรา เขาก็จะคงความ "Hot"

แถมยังไปช่วยเปลี่ยนเพื่อนๆ ของเขา

ที่ยังเป็น พวก "Cold" ให้เป็น "Warm"

และ จาก "Warm" กลายเป็น "Hot" อีกด้วย


นี่แหละ คือ เหตุผลของคำว่า

การตลาดยุคใหม่ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก


สุดท้าย ขอให้วันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป จงเป็นวันดี วันที่มีความสุข วันที่รวยๆ เฮงๆ ของเพื่อนๆ ตลอดไป ครับ


Comment