ถอดรหัส Business Model ของอาจารย์บัณฑิต อึ้งรังษี “อาจารย์ของอาจารย์”....The Power of Personal Branding

ในบรรดา Facebook live ของ Life Coach ที่ชอบเด้งขึ้นมาบนหน้า ฟีด Facebook ของผม มีหลายท่านด้วยกัน

แต่หนึ่งในหลายๆ ท่านนั้น ก็คือ Live ของ #อาจารย์บัณฑิต อึ้งรังษี

บางครั้งผมก็เปิดดู บางครั้งก็ไม่เปิดดู

โดยผมจะเลือกเปิดดูเฉพาะ Live ที่มีหัวข้อน่าสนใจ หรือ เป็นเรื่องที่ผมสนใจอยากรู้

จำนวนคนที่เข้ามาดู Live ของอาจารย์บัณฑิต มีตั้งแต่หลักหลายร้อย ถึง หลักหลายพัน

อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็เกิดความสงสัยว่า ทำไมคนจึงมาดู Live ของอาจารย์บัณฑิต มากมาย

จากความสงสัย ผมจึงเกิดความรู้สึกว่า “เฮ้ย แบบนี้ ต้องลอง 

#ถอดรหัส Business Model อาจารย์บัณฑิต อึ้งรังษี ซะแล้ว”

หลังจากที่ผมเกิดความรู้สึกดังกล่าว ผมเริ่มค้นหา เริ่ม Research ข้อมูล ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ที่เกี่ยวข้องกับ อาจารย์บัณฑิต

สิ่งแรกที่แวบๆๆๆ ขึ้นมาในสมองของผม ก็คือ เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน 

ปรากฏข่าวคนไทยคนหนึ่ง ที่ชนะเลิศการประกวดแข่งขัน Maazel-Vilar Internaltional Conducting Competion ในปี 2545 หรือ เมื่อประมาณ 19 ปีที่แล้ว

แน่นอน เมื่อมีคนไทย ไปประสบความสำเร็จระดับโลก ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ย่อมมีความยินดีปรีดา และรู้สึกชื่นชมความสามารถของ “อาจารย์บัณฑิต”

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของ “อาจารย์บัณฑิต” ก็ดังกระฉ่อน แบบเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่

อย่างไรก็ตามตอนนั้น ผมก็ยังไม่ได้สนใจอะไรกับ ความสำเร็จของอาจารย์บัณฑิต....

เพราะตอนนั้นผมกำลังเพลินกับการทำงานเป็นข้าราชการในหน่วยราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งชีวิตความก้าวหน้าก็ไปด้วยดี

วันเวลาผ่านไป ในวันหนึ่งของเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว 

ผมได้เข้าไปดูหนังสือในร้านหนังสือ “ซีเอ็ด” สายตาผมก็เหลือบไปเห็น หนังสือเสียง ของ อาจารย์บัณฑิต...

หนังสือเสียงเหล่านี้ ทำให้ผมบอกตัวเองว่า 

“เจ๋งว่ะ”....เขาสามารถเอาประสบการณ์ในการสร้างความสำเร็จในชีวิต มาบอกเล่า มาถ่ายทอดให้ผู้คน แถมยังสร้างรายได้ให้กับตนเองได้อีกด้วย

แต่ผมก็ยังไม่ได้ใส่ใจอะไร แถมยังไม่ได้ซื้อหนังสือเสียงของ อาจารย์บัณฑิต อีกด้วย....

วันเวลา ผ่านไปอีก กว่า 3 ปี โดยในช่วงนั้น โลกโซเซียลกำลังเฟืองฟู....ด้วย อิทธิพลของการสื่อสารแบบสองทาง ผ่าน Facebook live

ผมก็มี Facebook profile กับ เขาเช่นเดียวกัน....

และ ภาพอาจารย์ของ “อาจารย์บัณฑิต” ก็มาปรากฏสู่สายตา ผมอีกครั้งหนึ่ง

แต่คราวนี้ ไม่ใช่หนังสือเสียง แต่เป็น Post ที่ปรากฏใน ฟีตของ Facebook ของผม 

โดยใน Post นั้น มีรูป ของอาจารย์บัณฑิต พร้อมกับ ข้อความ “อาจารย์ ของ อาจารย์”

คำๆ นี้ ทำเอาผม รู้สึก “หมั่นไส้” อาจารย์บัณฑิต แบบเล็กๆ 

คือว่า อะไรมันจะเว่อร์ขนาดนั้น กำหนด Position ตนเอง เป็น “อาจารย์ ของ อาจารย์” เลยทีเดียวเหรอ

แต่เมื่อติดตามดูไปสักพัก ก็พบว่า อาจารย์บัณฑิต แกเป็น อาจารย์ของอาจารย์ จริงๆ

เพราะ ลูกศิษย์ที่เรียนกับแก โด่งดัง และสร้างรายได้จาก Online Content มากมาย และกลายเป็นอาจารย์จริงๆ ด้วย

ต่อจากนั้น ผมก็ติดตามอาจารย์บัณฑิต...ผ่าน Live ของอาจารย์บัณฑิตมาโดยตลอด

เล่ามาซะยืดยาว ขอเข้าประเด็นเลย...ประเด็นก็คือ 

“การถอดรหัส Business Model” ของ อาจารย์บัณฑิต

ซึ่งผมคิดว่า การถอดรหัสนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อย

เอาล่ะ พร้อมยัง...หากพร้อมแล้ว ก็อ่านต่อซิครับ

มาเริ่มที่องค์ประกอบแรก ที่ผมคิดว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดๆๆๆ นั้น คือ

#องค์ประกอบที่หนึ่ง Value Proposition หรือ คุณค่าที่อาจารย์บัณฑิตนำเสนอสู่ผู้คน

ย้อนกลับมาที่คำๆ ว่า “อาจารย์ ของ อาจารย์” 

คำๆ นี้ สะท้อน คุณค่า ที่อาจารย์บัณฑิต นำเสนอ..คือ ความสำเร็จที่จะได้จากการโค้ชของอาจารย์บัณฑิต

คือแบบว่า “ได้ผลลัพธ์แน่นอน”....พูดง่ายๆ คือ เพราะว่า “ได้รับการโค้ชจากอาจารย์ของอาจารย์”

มาดู #องค์ประกอบที่สอง ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หรือ Customer Segment กันบ้าง

จากที่ผมดูข้อมูลในเว็บไซด์ของอาจารย์บัณฑิต (www.bundit.org) ... 

ราคาของการโค้ช หรือ แม้กระทั่งหลักสูตรอบรม หนังสือ ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ หรือ ออนไลน์ ราคาค่อนข้างสูง มีตั้งแต่หลักหลายพัน จนถึง หลักหลายหมื่น บางอันก็เกือบแสน

แน่นอนคนที่จะรับการโค้ชจากอาจารย์บัณฑิต ต้องเป็นคนมีตังค์ในระดับหนี่ง แต่ต้องการสำเร็จแบบเร็วสุด

ด้วยการลงทุนเรียนรู้จาก “อาจารย์ของอาจารย์” ที่พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้วผ่านผลงานของตนเอง และจากการที่ปลุกปั้นลูกศิษย์ให้ประสบความสำเร็จมากมาย

#องค์ประกอบที่สาม ช่องการการขาย หรือ Channel

จากการที่ผมเกริ่นนำตอนแรกว่า มีคนดู Live ของอาจารย์บัณฑิต เป็นหลักร้อย หลักพัน 

ผมกำลังหมายถึงว่า Channel ในการนำเสนอ Value ของอาจารย์บัณฑิต เน้นที่ช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line, Instagram และ Youtube

โดยช่องทางออนไลน์เหล่านี้ ทำหน้าที่ ตาม New Customer Journey คือ ตั้งแต่ การสร้าง Awareness, Appeal, Ask, Act และ Advocate (เด๋ววันหลังผมจะมาเล่าเรื่อง New Customer Journey ให้ฟังครับ)

#องค์ประกอบที่สี่ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ Customer Relation Management 

การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าทั้งลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ คือ การให้ความรู้ ในเรื่องต่างๆ เช่น การทำธุรกิจออนไลน์, Trend ใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจ, การใช้กฎแห่งแรงดึงดูด เป็นต้น

นอกจากนั้นใช้การจัดโปรโมทชั่น แล้วนำเสนอผ่าน ช่องทาง Online หรือ Channel ที่กล่าวไปแล้วในองค์ประกอบที่สาม

คือแบบว่า "ขายแบบไม่ต้องขาย" อะไรประมาณนั้น

เรียกง่ายๆ ว่า คือ #การตลาดยุคใหม่ คือ ต้องทำตัวเป็น #ผู้ให้ ก่อน

แต่ที่เห็นบ่อยที่สุด คือ การนำเสนอ ความสำเร็จของลูกศิษย์แต่ละคน ที่เริ่มจากศูนย์ หรือ ติดลบ แต่พลิกผันมาสำเร็จหลักล้าน หลักสิบล้าน ได้

สิ่งเหล่านี้ แหละที่ตอกย้ำภาพ ของความเป็น "#อาจารย์ของอาจารย์"

#องค์ประกอบที่ห้า กิจกรรมสำคัญ หรือ Key Activities

เนื่องจากสิ่งที่อาจารย์บัณฑิตนำเสนอ ก็คือ Content ที่สามารถทำให้คนๆ หนึ่งประสบความสำเร็จ ผ่าน Content ในรูปแบบต่างๆ และต้องตอกย้ำความ "อาจารย์ของอาจาราย์" อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นกิจกรรมสำคัญก็คือ การสร้าง #Content ในรูปแบบต่างๆ ดังที่ปรากฏใน Social Media ที่หลากหลายของอาจารย์บัณฑิต

เมื่อ สร้าง Content แล้วก็เผยแพร่ Content เหล่านั้น ไปสู่ #Channel ต่างๆ ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

และกิจกรรมที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การขาย ผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งต้องมีทีมงานที่เชี่ยวชาญรองรับกิจกรรมการขายต่างๆ เหล่านี้

#องค์ประกอบที่หก ทรัพยากรสำคัญ หรือ Key Resources

ทรัพยากรสำคัญ น่าจะเป็นข้อมูล ที่จะนำมาสร้างเป็น Content

ทีมงานที่รองรับการทำ Content และ ทีมงานการตลาด

อีกทีมงานหนี่ง น่าจะเป็นทีมที่ Support ทางด้านเทคนิคเวลาที่เผยแพร่ Content ผ่านช่องทางต่างๆ

#องค์ประกอบที่เจ็ด พันธมิตร หรือ Partner

เท่าที่ผมจินตนาการออก พันธมิตร ของ อาจารย์บัณฑิต ก็น่าจะเป็น Internet provider, โรงแรม หรือ สถานที่ ที่อาจารย์บัณฑิตใช้ในการจัดอบรมสัมมนา 

หรือ อะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนำเสนอคุณค่า โดยกิจกรรมเหล่านี้ อาจารย์บัณทิต ให้คนอื่นทำแทนก็ได้

#องค์ประกอบที่แปด โครงสร้างต้นทุน หรือ Cost Structure

{ads_seminar}

ต้นทุนหลักๆ ของอาจารย์บัณฑิต น่าจะเป็นในเรื่องการสร้าง Content โดยเฉพาะในส่วนของภาพลักษณ์ ของความเป็น “อาจารย์ของอาจารย์” ที่ต้องทำปรากฏสู่สายตาของกลุ่มเป้าหมายอยู่ตลอด

และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับ กิจกรรมการจัดสัมมนาอบรมต่างๆ 

ดูๆ เหมือน ต้นทุนของ Business Model ของอาจารย์บัณฑิต อาจจะไม่สูงนักในแง่สัดส่วน เมื่อเทียบ รายได้ที่ได้รับ

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า ต้นทุนที่แท้จริงของอาจารย์บัณฑิต ก็ต้องย้อนคิด ไปถึงตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะประสบความสำเร็จ จนถึงช่วงที่เริ่มโด่งดัง

กล่าวคือ ต้นทุนในการสร้างความเป็น "อาจารย์ของอาจารย์" ที่ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 20-30 ปี กว่าจะเรียกตนเองว่า “อาจารย์ของอาจารย์” ได้

อันนี้คิดเป็นเงิน ก็น่าจะเยอะอยู่นะ เพราะต้องใช้เวลา และพลังงานมหาศาล

#องค์ประกอบที่เก้า กระแสรายได้ หรือ Revenue Stream

ดังที่กล่าวไปแล้ว ว่า Core Value ของ อาจารย์บัณฑิต คือ ความเป็น "อาจารย์ของอาจารย์"

ดังนั้น สินค้า บริการ ของอาจารย์บัณฑิต คือ Content ที่แฝงไปด้วยความเชื่อว่า หากได้เรียนรู้จากสิ่งที่อาจารย์บัณฑิตถ่ายทอดนั้น จะประสบผลสำเร็จแน่นอน

โดย Emotional Content นี้ อาจจะอยู่ในรูป สัมมนา หนังสือ สื่อในรูปแบบต่างๆ ทั้งออนไลน์ และ ออฟไลน์

สิ่งรายได้ของอาจารย์บัณฑิต ผมคาดว่าน่าจะเป็นหลักร้อยล้าน หรือ มากกว่านั้น ต่อปี โดยผมวิเคราะห์จาก กิจกรรมต่างๆ ราคาของ content ในรูปแบบต่างๆ จำนวนคน Like คน Follow ใน Social Media ของอาจารย์บัณฑิต

พูดง่าย มีลูกค้าเยอะมาก และเป็นกลุ่มคนที่มีเงิน หรือ พร้อมที่จะจ่ายเพื่อลงทุนพัฒนาตนเอง

แต่รายได้ที่แท้จริงๆ ผมก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่ได้มีโอกาสไปดูบัญชีรายรับรายจ่ายของอาจารย์บัณฑิตได้...

การถอดรหัส “Business Model” ของอาจารย์บัณฑิต อึ้งรังษี 

ที่ผมถอดรหัสออกมา จากข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ในโลกโซเซียล มีเดีย และจากการสังเกตของผมเอง ดังนั้นผมขอแจ้ง ณ ที่นี้ ก่อนว่า อาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

แต่อย่างน้อยก็พอจะเป็นประโยชน์บ้าง ในแง่การวิเคราะห์ธุรกิจ ตามหลักการ Business Model 

สุดท้าย ก่อน จบ ...ผมอยากจะบอกว่า สิ่งที่มีคุณค่า และมูลค่าสูงสุด ของอาจารย์บัณฑิต คือ Personal Branding ที่ใช้เวลาสร้างมาไม่น้อยกว่า 30 ปี

หากใครต้องการประสบความสำเร็จแบบ อาจารย์บัณฑิต ก็ต้องลงทุนในเรื่อง Personal Brand ให้มากๆ จนท่านสามารถเรียกตนเอง หรือ ให้คนอื่นเรียก ตัวท่าน ในแบบที่ท่านต้องการได้

และนี่คือ Business Model ของอาจารย์ บัณฑิต อึ้งรังสี “อาจารย์ของอาจารย์” และสะท้อนให้เห็นถึง พลังของ Personal Branding