ดร.ออกัสติน ลอฟเฮ้าส์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก ผู้ค้นพบ ดาวเคราะห์ K 23 ซึ่งเป็นดาวบริวารของดาวพฤหัส
ดาวเคราะห์ K 23 มีชั้นบรรยากาศที่คล้ายคลึงกับโลก มนุษย์สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้
ดังนั้นองค์กรเกี่ยวกับอวกาศของโลก ได้ตัดสินใจส่งยานอวกาศสุดล้ำเทคโนโลยี ที่มีชื่อว่า “ยานอีเธอร์” พร้อมทีมนักบินอวกาศ และนักสำรวจ เดินทางผ่านห้วงอวกาศไปที่ดาว K 23
การเดินทางไปครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อพิสูจน์ว่า ดาว K 23 มีชั้นบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือไม่ ตามสมมุติฐานของ ดร.ออกัสติน ลอฟเฮ้าส์
ทีมนักสำรวจ ได้เดินทางไปถึง ดาว K 23 และได้ตรวจสอบ ซึ่งพบว่า ชั้นบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมของ ดาว K 23 เหมาะที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้จริงๆ
ยานอีเธอร์ พร้อมลูกเรือ ยินดีกับการทดสอบ และเดินทางกลับสู่โลกใบสีน้ำเงินทันที
แต่เมื่อเดินทางเข้าใกล้บรรยากาศโลก ก็ได้รับสัญญานการติดต่อสื่อสาร จาก ดร.ออกัสติน ว่า ขณะนี้ โลกกำลังสูญสลายแล้ว
บนพื้นดินไม่สามารถเป็นที่อยู่ของผู้คนได้ เนื่องจากมลภาวะร้ายแรง
ผู้คนต่างหลบหนี ไปอยู่อาศัยในที่หลบภัยใต้ดิน ซึ่งสามารถอยู่ได้เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น
นั่นหมายความว่า นี่คือ วาระสุดท้ายของโลก
สถานที่สุดท้ายที่จะได้รับผลกระทบจากมลภาวะนี้ คือ ขั้วโลก
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่ ดร.ออกัสติน ประจำอยู่ และเหลืออยู่เพียงคนเดียว
คนอื่นๆ สมัครจะที่จะกลับไปสู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ ไม่มีใครสามารถอยู่รอดได้แล้ว
ดร.ออกัสติน เอง ก็ป่วยเป็นโรคเลือด ต้องมีการฟอกเลือดอยู่ตลอดเวลา และอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาคิดถึงลูกสาวเขามาก (ลูกสาวที่เขาทิ้งมาตั้งแต่ยังเด็ก) จนทำให้เขาคิดไปเอง ในขณะที่อยู่คนเดียวในสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ขั้วโลก
ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เดินทางไปกับผู้คนส่วนใหญ่ ติดอยู่ร่วมกับเขา
จริงๆ แล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ คือ ภาพที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้นมา จากความต้องการอย่างแรงกล้าที่ฝังอยู่ลึกๆ ในจิตใต้สำนึก ที่จะได้พบลูกสาวเขา
ย้อนกลับมา ที่ ยานอีเธอร์ ที่ได้รับสัญญานการติดต่อจาก ดร.ออกัสติน โดย นักบินอวกาศที่ได้รับสัญญานการติดต่อจาก ดร.ออกัสติน กลับมาเป็นลูกสาวของเขาเอง
ที่สมัครเข้าโครงการอวกาศ เนื่องจากแรงบันดาลใจ ที่ได้รับจากเรื่องราวการค้นพบ ดาว K 23 ของ ดร.ออกัสติน ในช่วงที่เธอยังเป็นนักศึกษา
แต่เธอไม่ทราบเลยว่า ดร.ออกัสติน คือ พ่อของเธอ เนื่องจากแม่เธอไม่เคยพูดถึงพ่อ พ่อซึ่งเป็นคนที่คลั่งใคล้วิทยาศาสตร์ จนแม่เธอตัดสินใจแยกทาง และพาลูกสาวตัวน้อยมาเลี้ยงดูเอง
หลังจาก ที่ นักบินอวกาศ รู้แล้วว่า ไม่สามารถกลับมาโลกได้ เพราะชั้นบรรยากาศถูกทำลายจากมลภาวะ
ดังนั้น กัปตันยานอีเธอร์ จึงตัดสินใจไม่กลับโลก แต่เดินทางกลับไปที่ ดาว K23 เพื่อไปสร้างโลกใหม่
อย่างไรมี นักบินอวกาศ สองคน ที่ตัดสินกลับโลก ด้วยยานกระสวยอวกาศ เพื่อกลับมาหาครอบครัวบนโลก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ และ การกลับมาสู่โลก ก็คือ การกลับสู่ความตาย
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องจริง แต่อย่างใด ครับ
แต่เป็นเรื่องราว ของหนังใน Netflix ที่มีชื่อว่า “The Mid Night Sky” โดยมีชื่อภาษาไทยว่า “สัญญานสงัด”
มีดารานำ คือ “จอร์จ คูลนี่” แสดงเป็น ดร.ออกัสติน
การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมตระหนัก ถึง ความยิ่งใหญ่ของ “ความหวัง”
ดร.ออกัสติน ในช่วงเวลาใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาหวังที่จะได้พบลูกสาว ที่เขาทิ้งไปตั้งแต่เธอยังเยาว์วัย
เมื่อเขาได้คุยกับลูกสาวเขา (โดยที่ลูกสาวก็ไม่รู้ว่านี่คือ พ่อ) เขาหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกสาวแน่นอน
{ads_seminar}
ผู้คนมากมายตัดสินใจที่จะกลับบ้าน เพื่อหวังที่จะไปอยู่กับครอบครัว เพื่อดื่มด่ำความสุขในวินาทีสุดท้าย
นักบินอวกาศ หวังที่จะสร้างโลกใหม่ ในดาว K 23
นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมตั้งชื่อ บทความของผมบทนี้ ว่า “ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ความหวังเป็นสิ่งสวยงาม และยิ่งใหญ่เสมอ”
ตอนนี้ เราอยู่ในสถานการณ์โควิด ซึ่งแน่นอนมันดีกว่าสถานการณ์ในหนังเรื่อง Mid Night Sky มากมาย
ดังนั้น ขอให้ท่าน (และตัวผมด้วย) จงมีความหวังเสมอ เพราะความหวังเป็นสิ่งสวยงาม และยิ่งใหญ่ เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
#ความหวัง #Hope #Strategic #ความหวังคือสิ่งสวยงาม #ความหวังคือความยิ่งใหญ่
Comment