ท่านยังจำได้ไหมว่า ตอนเด็กๆ ท่านชอบอะไรมากที่สุด....

แน่นอนเด็กส่วนใหญ่ ชอบฟังนิทาน และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า แม้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็ยังชอบฟังเรื่องเล่าต่างๆ ถ้าหากคนเล่า สามารถเล่าเรื่องได้ดี

บางเรื่องที่เราฟังตอนเด็กๆ และทำให้เราประทับใจ...เราจะไม่มีวันลืมเรื่องเล่าเหล่านั้นเลย

ในยุคที่อินเทอร์เน็ต และ Social Media ครองโลก มีผู้คนมากมายได้หลั่งไหลกันมาทำมาหากิน สร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะผ่าน Social Media รูปแบบต่างๆ ที่มีมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Youtube, Instargam, Tik Tok และ ช่องทางอื่นๆ

ในบรรดาผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจในโลกออนไลน์นั้น มีผู้คนมากมายประสบความสำเร็จ และในเวลาเดียวกัน ก็มีผู้คนมากมายที่ไปไม่ถึงฝั่ง

และทักษะสำคัญยิ่งผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจในโลกออนไลน์ทุกคนมี ก็คือ ทักษะในการเล่าเรื่อง หรือ Story Telling...

พูดง่ายๆ ใครเล่าเรื่องเก่ง ใครเล่าเรื่องได้โดนใจ หรือแตะเข้าไปในสมองส่วนลึกของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ มีอะไรก็ขายได้ มีอะไรก็ขายดี

การเล่าเรื่องที่ดี จะต้องสามารถสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการนั้น ....

เนื่องจากมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่า ตัดสินใจด้วยเหตุผล

เรื่องราวจะน่าฟัง หากสมองซีกซ้าย ซีกขวา ของผู้เล่า ทำงานสัมพันธ์กัน

คนบางคนมีข้อมูลอยู่ในหัวมากมาย มีความรู้เพียบ แต่พอให้เล่าเรื่องกับพูดตะกุกตะกัก เล่าเรื่องได้น่าง่วง น่านอน และน่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง

แต่คนบางคนอาจจะมีข้อมูลมากมาย แต่เล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลน่าฟัง...สร้างความประทับใจ สร้างความเร้าอารมณ์ คนฟังไม่เบื่อ

ในศาสตร์ทางสมอง กล่าวไว้ว่า คนที่เล่าเรื่องได้ดี น่าฟัง เป็นผลมาจากการทำงานสอดประสานกันระหว่างสมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นเรื่องเหตุผล กับ สมองซีกขวาที่เป็นเรื่องจินตนาการ

เนื้อหาที่จะเล่า มันเป็นส่วนผสมของสองสิ่ง สิ่งแรก คือ ข้อมูลที่จะเล่า สิ่งที่สอง คือ จะนำเสนออย่างไรให้เกิดอารมณ์ร่วมกับข้อมูลนั้น

การสร้างอารมณ์ร่วม จะทำให้ผู้ฟัง ผู้ชม ถูกอารมณ์นั้นดึงเข้าไปอยู่ในโลกของเรื่องราวนั้น หรือ ทำให้ผู้ฟัง ผู้ชม เกิดจินตนาการเกี่ยวกับสิ่งนั้น นำไปสู่การเชื่อมโยงกับเรื่องราวนั้น

สตีฟ จ๊อบส์ ได้กล่าวไว้ว่า

“The most powerful person in the world is the storyteller.”

คนที่มีพลังอำนาจมากที่สุด ในโลก คือ นักเล่าเรื่อง

เอาล่ะมาเข้าสู่ เทคนิคในการเล่าเรื่อง ในผู้จดจำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร แบรนด์ของท่าน สินค้าของท่าน

เคล็ดลับที่ 1 ดึงผู้คนเข้าสู่สถานการณ์ที่เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยการสร้างอารมณ์ร่วม

อันดับแรก ผมแนะนำให้ท่านกลับไปดูหนัง หรือ ภาพยนตร์ ที่ท่านชอบ และ จำฉากต่างๆ ในหนัง หรือ ภาพยนตร์เรื่องนั้นได้ และให้ท่านลองศึกษาขั้นตอนในการเล่าเรื่อง และ การสอดแทรกเรื่องเล่า ที่เร้า หรือ กระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึกของท่าน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เศร้า อารมณ์สนุก อารมณ์เสียใจ อารมณ์ดีใจ

สิ่งที่หนัง หรือ ภาพยนตร์เหล่านี้ ทำให้เกิดขึ้น คือ การดึงผู้คนเข้าสู่สถานการณ์ หรือ การสร้างอารมณ์ร่วมนั้น

พอเกิดอารมณ์ร่วม คราวนี้แหละ ผู้ชม ผู้ฟัง ก็จะจินตนาการตาม แล้วถูกดูดเข้าไปในสถานการณ์ทันที

สิ่งสำคัญที่ผมพยายามบอกท่าน ก็คือ อย่าเล่าเฉพาะข้อมูล แต่ให้สอดแทรกเรื่องราวที่ก่อให้เกิดอารมณ์ นี่คือ เคล็ดลับที่ 1

หลังจากดึงผู้ชม ผู้ฟัง ให้เข้าสู่สถานการณ์ด้วยเล่าเรื่องที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมแล้ว ให้ท่านสังเกตปฏิกริยาผู้ชม ผู้ฟัง ว่าเป็นอย่างไร

หากผู้ชม ผู้ฟัง โน้มร่างกายเข้ามาด้านหน้า และแสดงสีหน้าที่สนใจ อยากรู้อยากเห็น นั่นแสดงว่า ท่านสามารถดึงผู้ชม ผู้ฟัง เข้าสู่สถานการณ์ทางอารมณ์ที่ท่านต้องการเกิดขึ้นกับผู้ชม ผู้ฟัง

แต่ถ้าเป็น Content ในโลกออนไลน์ ท่านอาจจะไม่เห็นปฏิกิริยาเหล่านั้น ดังนั้นท่านอาจจะสังเกตจากยอด Like ยอด Share และ จำนวน Comment ที่คนแสดงออก

{ads_seminar}

ในทางตรงกันข้าม หากท่านเล่าไปแล้ว ผู้ชม ผู้ฟัง ยังคงนั่งกอดออก หลังผิงเก้าอี้ แบบเฉยๆ ก็มีแนวโน้มว่า เรื่องเล่าของท่านไม่สามารถดึงผู้ชม ผู้ฟัง เข้าสู่สถานการณ์ของเรื่องที่ท่านเล่าได้

เคล็ดลับที่สอง ปลุกจินตนาการ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ห้า

“Storytelling is the most powerful way to put ideas into the world.” – Robert McKee

พอเราดึงคนเข้าสู่สถานการณ์ได้แล้ว สิ่งต่อไป คือการปลุกจินตนาการ ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า

• ทำให้เห็นภาพ หรือ Visualization ด้วยการสอดแทรกภาพ หรือ พูดให้เห็นภาพ
• ทำให้เห็นได้ยินเสียง ด้วยการสอดแทรก Sound effect
• ทำให้ได้กลิ่น ด้วยการสอดแทรก ภาพที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่น หรือ ทำให้เห็นภาพที่ทำให้นึกถึงกลิ่น
• ทำให้รู้สึกได้ ด้วยการแทรกภาพ หรือ เสียง ที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงสิ่งนั้นได้
• ทำให้รับรู้ถึงสัมผัส ด้วยการแทรกภาพ หรือ เสียงที่ทำให้รับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้

เคล็ดลับเพิ่มเติม

ประเด็นหรือเรื่องเล่า ควรมีเพียงหนึ่ง หรือ สองประเด็น เพราะประเด็นที่เล่ามากเกินไป จะทำให้ยากต่อการ Focus ของผู้ชม ผู้ฟัง และจะทำให้ Connection ระหว่างผู้เล่า กับ ผู้ชม ผู้ฟัง ไม่ปะติดปะต่อ และอาจจะหมดความสนใจไปเลย

หากทำได้ตามเคล็ดลับ นี้ เรื่องเล่าของท่านจะปังแน่ แชร์ระเบิด แน่นอน