ความสิ้นหวัง ความท้อแท้ เป็นความรู้สึกที่เราทุกคนต้องเคยประสบพบเจอ แต่อาจจะมีประสบการณ์กับมัน มากน้อยแตกต่างกันไป ในแต่ละคน
บางคนอาจจะเจอในระดับพอหอมปากหอมคอ...แล้วเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยแบบเล็กๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เวลาจะค่อยเยียวยาให้เราหลุดพ้นจากความรู้สึกเศร้าที่เกิดจากความสิ้นหวัง หรือ ผิดหวัง
บางคนแย่หน่อย เจอกับความรู้สึกสิ้นหวังแบบหนักหน่วง จนถึงกันเศร้าซึมลึก ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะหลุดออกจากวังวนแห่งความเศร้า ที่เกิดจากความผิดหวัง สิ้นหวังนั้น
บางคนแย่หนักไปกว่านั้นอีก แบบว่า ไม่สามารถหลุดพ้นกับเขาวงกตแห่งความเศร้า ที่ถูกสร้างขึ้นจากความผิดหวัง ความสิ้นหวัง จนทำให้ถึงกลับ กลายเป็นโรคซึมเศร้า ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ จนถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ ใบนี้
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมได้ข้อสรุป 4 ข้อ
ข้อแรก คือ คนเราทุกคนต้องเจอกับความสิ้นหวัง หมดหวัง กันทุกคน แต่อาจจะมากน้อยแตกต่างกันไปตามสภาพของแต่ละคน
ข้อสอง คือ เราต้องหาทางดึงตัวเราออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวัง ผิดหวัง ให้เร็วที่สุด ใครออกจากวังวนนี้ได้เร็วเท่าไหร่ ก็สามารถกลับด้านชีวิต จากสิ้นหวัง ไปเปลี่ยน สภาวะเปี่ยมไปด้วยความหวัง ได้เร็วเท่านั้น
ข้อสาม คือ “ความสิ้นหวัง” ทำให้เรารู้ว่า “ความสมหวัง” มันมีค่ามากเพียงใด...ท่านลองคิดว่า หากไม่มีความสิ้นหวัง เราจะไม่รู้จักรสชาติของความ “สมหวัง” เลย….
ข้อสี่ คือ ความสิ้นหวัง และ ความสมหวัง เป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งของชีวิต หรือ พูดง่ายๆ มันเป็นอาหารทางจิตวิญญานที่เราทุกคนบริโภคมันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ใครที่รู้จักมันดี แล้วรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน ชีวิตจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ เลยทีเดียว
และ ข้อสรุปข้อที่ 4 นี่แหละ ที่เป็นที่มาของชื่อ บทความ “ขอบคุณ นะ ไอ้สิ้นหวัง ทำที่ให้รู้ว่าความสมหวังมันโคตรมีค่า”
ผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง “Star wars” ซึ่งเป็นอภิมหากาพย์ที่ถูกสรรสร้างมาเป็นเวลานานถึง สามสิบกว่าปี
เนื้อหาแต่ละตอน ก็มีโครงสร้างคล้ายๆ กัน...คือ มีเจได, มีฝ่าย ดาร์กไซด์ เป็นหลัก ต่อสู้กันไป ต่อสู้กันมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปของแต่ละภาค ก็คือ Generation ของตัวเอกในเรื่อง
เช่น บางภาค เป็นเรื่องของพ่อ, บางภาค เป็นเรื่องของลูก, บางภาคย้อนหลังไปเรื่องของปู่ยาตายาย, และรู้สึกว่าภาคล่าสุดจะเป็นเรื่องของรุ่นหลาน และอีกอย่างเปลี่ยนแปลงไปก็คือ เทคนิคการนำเสนอที่ล้ำยุค ตามความก้าวหน้าของดิจิทัลเทคโนโลยี ซึ่งดูสมจริง ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไปกับความอลังการของฉากแต่ละฉากของภาพยนตร์
ทั้งที่มันซ้ำไป ซ้ำมา ผมก็ยังดูมันเกือบทุกภาค และผมก็บ่นทุกครั้งว่า Theme ของหนังก็ไม่ค่อยแตกต่างกันนัก
แต่เอย...ทำไมผมถึงชอบดูมันจัง
ผมทบทวนเรื่องราวในทุกๆ ภาคของหนัง Star Wars ที่ผมได้มีโอกาสดู ผมถึงกลับ “โป๊ะเช๊ะ”
ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars คือ การนำเสนอวงรอบของความ “สิ้นหวัง สมหวัง สิ้นหวัง สมหวัง” วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เช่น ฝ่ายพระเอกกำลังจะแพ้ ฝ่ายดาร์กไซด์ หรือ ฝ่ายตัวร้าย หรือ พูดง่ายๆ อยู่ในสภาพสิ้นหวัง แต่อยู่ๆ ก็มีอะไรสักอย่าง หรือ ปฏิหารย์บางอย่าง ทำให้ฝ่ายพระเอกชนะ...
วงจรสิ้นหวัง มีหวัง สมหวัง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แหละ ทำให้สมองเราหลั่งสารแห่งความทุกข์ และความสุข ออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว...วนเวียนกับไปแบบนี้ พูดง่ายเราได้เสพติดรสชาติของหนังแบบง่อมแงม
{ads_seminar}
ดังที่ผมกล่าวไว้แล้วว่า “ความสิ้นหวัง และ ความสมหวัง” คือ อาหารรสโอชะทางจิตวิญญาณที่ คนเราต้องการเสพมันอยู่ตลอด ในระดับจิตใต้สำนึกเลยทีเดียว
สุดท้าย ก่อนจบ...ผมอยากจะบอกว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนหนัง Star wars ที่มันเป็นวงจรของ “ความสิ้นหวัง ผิดหลัง มีหวัง สมหวัง”
แต่ใครจะรู้จักใช้ประโยชน์จากอารมณ์เหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน และ อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรารู้จักการบริหารวงรอบของความรู้สึกเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเรามากน้อยแค่นั้นเอง...เหมือนกับที่ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars สื่อสารกับเรา
“ขอบคุณ นะ ไอ้สิ้นหวัง ทำที่ให้รู้ว่าความสมหวัง มันโคตรมีค่า”
Comment