10 มหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นที่สุดในรอบทศวรรษ

 18 พ.ค. 2563 14:31 น.    เข้าชม 1193    Entrepreneurship
10 มหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นที่สุดในรอบทศวรรษ

บทความนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า มหาเศรษฐีผู้ที่รวยขึ้นมากที่สุดในรอบทศวรรษ (2010-2019)

จุดประสงค์ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง มิใช่เป็นการส่งเสริมให้เห็นว่า เราทุกคนควรจะรวยมั่งคั่งร่ำรวยมีเงินเยอะๆ เหมือนมหาเศรษฐีเหล่านี้ แต่สิ่งที่ต้องการนำเสนอ ก็คือ การมาบอกให้เห็นว่าคนพวกนี้ ที่เป็นเศรษฐี เขามีวิธีคิดยังไง ในการขับเคลื่อนชีวิต และเราสามารถนำหลักคิดของเขามาประยุกต์ใช้ในชีวิตของเรา และประสบความสำเร็จในแบบของเรา

อย่างไรก็ตาม การมีเงินเยอะๆ มันย่อมดีแน่นอน และก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย เพราะหากเรามีเงินทองมากกมายเราก็จะสามารถมีเงินใช้จ่ายในสิ่งต่างๆ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะหาเงิน แล้วใช้อย่างไรให้เกื้อกูลตัวเรา และ ผู้อื่น เราจะเป็นเศรษฐีใจบุญ หรือว่า เป็นเศรษฐีที่เห็นแก่ตัว นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เงินนั้นไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดความชั่วร้าย แต่ความชั่วร้ายเกิดขึ้นจากคน จากวิธีการหาเงิน หรือ วิธีการใช้เงินของคน

วันนี้ผมก็จะเอาเรื่องราวของมหาเศรษฐี 10 คน มาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เขามีสินทรัพย์เท่าไหร่ รวมไปถึงการเล่าประวัติของพวกเขาบ้าง พอหอมปากหอมคอ แบบว่าอยากจะบอกว่า คนเหล่านี้ จริงๆ เขาก็มีหนึ่งสมอง สองมือ สองแขน สองเท้า ไม่ได้ฉลาดเฉลียวไปกว่าเรามากมายเท่าไหร่ครับ แต่เพราะอะไรทำไมคนพวกนี้ ถึงก้าวไปสู่จุดนั้นได้

เรื่องราวของ 10 มหาเศรษฐี ที่รวยขึ้นมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ ผมนำมาจากเว็บไซด์ Forbes Thailand ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของนิตยสารฟอร์บส์ นิตยสารที่จะนำเสนอเรื่องของเงินๆ ทองๆ เรื่องของคนรวย และเรื่องเศรษฐกิจอะไรประมาณนั้นนะครับ

เอาล่ะ พร้อมแล้ว เรามาเริ่ม ทำความรู้จักกับพวกเขากันเลยครับ

เจฟฟ์ เบโซ

คนที่ 1 เจฟฟ์ เบโซ เป็นเจ้าของเว็บไซต์อเมซอน ผมคิดว่าทุกท่านรู้จัก Amazon เว็บไซต์ e-commerce ที่มีขนาดใหญ่น่าจะใกล้เคียงกับ Alibaba ของ แจ๊ค หม่า

เจฟ เบโซสเริ่มธุรกิจอเมซอนจากการเป็นร้านหนังสือออนไลน์ก่อน แล้วก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมา ตอนนี้ขายอะไรเยอะแยะไปหมด กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก ทรัพย์สินของเขาในปี 2019 มีประมาณ 1.097 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่ในปี 2010 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขามีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 1.23 หมื่นล้านเหรียญ นั่นหมายความว่าเงินก็เพิ่มมาเกือบ 900 เปอร์เซ็นต์ นั่นก็คือ 9.74 หมื่นล้านเหรียญ รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เขาคงจะกลุ้มใจน่าดู ว่าในแต่ละวันจะเอาเงินไปทำอะไร

เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์

คนที่ 2 เป็นชาวฝรั่งเศสชื่อว่า เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ เมื่อปี 2010 มีทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 2.75 หมื่นล้านเหรียญ พอมาในปี 2019 ก็มีอยู่ 1.077 แสนล้านเหรียญ ซึ่งมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมา 8.02 ล้านเหรียญ

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

คนที่ 3 นี้ เรารู้จักกันดี เพราะเขาได้เงินจากคนไทยเยอะมาก คนๆ นี้ก็คือ เจ้าพ่อ Facebook หรือว่า คุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซึ่งมีภรรยาเป็นชาวจีน แล้วก็หน้าตาไม่ได้สวยแบบดารา เขาบอกว่าการที่เขาเลือกคนที่จะเป็นคู่ชีวิตของเขานั้น เขาเลือกคนที่ทำให้เขามีความสุข เพราะเขาเคยมีแฟนหน้าตาสวยเซ็กซี่ แต่ว่าคนที่หน้าตาสวยเซ็กซี่ อาจจะมีนิสัยที่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุข เพราะฉะนั้น มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก มหาเศรษฐีแสนล้าน จึงเลือกภรรยาเป็นสาวชาวจีนที่หน้าตาไม่ได้สวยอะไร แต่ทำให้เขามีชีวิตมีความสุข

ถึงเขาจะมีเงินมากมาย แต่ว่าก็มีปรัชญาชีวิตที่ดี เขาจับธุรกิจถูกทาง เขาไปอยู่ในจุดที่มันทำให้เขาไปสู่จุดนั้นได้

เมื่อปี 2010 เขามีสินทรัพย์ 4 พันล้านเหรียญ พอปี 2519 ขยับเป็น 7.2 หมื่นล้านเหรียญ ในช่วง 10 ปี สินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นมา 6.80 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 180,000 ล้านบาท เกือบจะเป็น 1 ใน 10 ของงบประมาณแผ่นดินประจำปีของประเทศไทยในทีเดียว

บิล เกต

คนที่ 4 บิล เกต เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ เมื่อปี 2010 มีสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 5.30 หมื่นล้านเหรียญ พอปี 2019 มีทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 1.07 แสนล้านเหรียญ คือเพิ่มขึ้นมา 5.46 หมื่นล้านเหรียญ นี่คือบิลเกตส์ซึ่งเป็นเศรษฐีอันดับ 1, 2, 3 ของโลกวนเวียนอยู่อย่างนี้

อาแมนซิโอ ออร์เทก้า

คนที่ 5 อาแมนซิโอ ออร์เทก้า เป็นชาวสเปน เจ้าของห้างเสื้อผ้าชื่อดัง ห้างซาร่า เขามีทรัพย์สินสุทธิเมื่อปี 2011อยู่ 2.05 หมื่นล้านเหรียญ พอปี 2019 มี 7.49 หมื่นล้านเหรียญ รวยขึ้น 4.99 หมื่นล้านเหรียญ

หากท่านไปเดินตามห้างดังๆ เช่น ห้างเซ็นทรัล จะมีร้าน Zara

ลาร์รี่ เพจ

คนที่ 6 ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเขา แต่ว่าสิ่งที่เขาทำ คือสิ่งเราใช้กันอยู่ทุกวัน มหาเศรษฐีคนนี้ ก็คือ ลาร์ลี่ เพจ หรือคนที่ก่อตั้ง Google

เมื่อปี 2010 ลาร์รี่ เพจ ก็มีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 1.75 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2019 ก็มี 6.1 หมื่นล้านเหรียญ รวยขึ้น 4.35 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

วอเรน บัฟเฟต

คนที่ 7 คือ เจ้าพ่อหุ้น วอเรน บัฟเฟต ในปี 2010 เขามีสินทรัพย์อยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2019 เขามีเพิ่มเป็น 8.88 หมื่นล้านเหรียญ คือรวยขึ้น 4.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ถ้าหากท่านที่ติดตามประวัติรูปแบบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของ วอเรน บัพเฟต จะเห็นว่าเขาทำตัวสมถะมาก ขับรถเก่าๆ อยู่บ้านหลังเล็กๆ เป็นคนที่มีประวัติที่มีชีวิตที่น่าสนใจมากนะครับ

บางทีผมก็สงสัยจะมีเงินเยอะแยะไปทำไม

สตีฟ บาวเมอร์

คนที่ 8 คือ สตีฟ บาวเมอร์ เป็นหนึ่งในผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นของ Microsoft เป็นเพื่อนกับ บิล เกต นั่นเอง สตีฟ บาวเมอร์มีสินทรัพย์เมื่อปี 2010 อยู่ 1.45 หมื่นล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2019 เขามีทรัพย์สิน 5.63 หมื่นล้านเหรียญ คือรวยขึ้น 4.18 หมื่นล้านเหรียญ

เซอร์เก้ บริน

คนที่ 9 คือ เซอร์เก้ บริน เป็นคนรัสเซีย ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ร่วมกับ ลาร์รี่ เพจ

ในปี 2010 เซอร์เก้ บริน มีสินทรัพย์ประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2019 มีสินทรัพย์อยู่ที่ 5.88 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมา 4.13 หมื่นล้านเหรียญ

แจ็ค หม่า

คนที่ 10 เป็นคนเอเชีย เขาคือ แจ๊ค หม่า

แจ็ค หม่า เป็นผู้มีประวัติชีวิตที่น่าสนใจ เคยผ่านความล้มเหลวอย่างน่าเกลียดมาก แบบที่เรายากจะจินตนาการ

แบบว่าไปสมัครเป็นพนักงานไก่ทอด KFC KFC ก็ยังไม่รับ

เรียนหนังสือก็ตกแล้วตกอีก

ไปสมัครที่ฮาร์เวิร์ด สองครั้งสามครั้ง ฮาร์เวิรด์ก็ไม่รับ

แต่พี่แกเป็นคนมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของ อาลีบาบา

ในปี 2010 เขามีสินทรัพย์ประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2019 มีสินทรัพย์อยู่ 4.2 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมา 4.08 หมื่นล้านเหรียญ

สิ่งหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง คือ ตอนแรกที่ผมเกริ่นว่า จริงๆ แล้วการเอาเรื่องของมหาเศรษฐีมาเล่าให้ฟัง ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปร่ำรวยมหาศาลอย่างเขา เพราะมันเป็นเรื่องของโอกาสของแต่ละคนที่ไปเจออะไร และเขาอยู่ในจังหวะที่ไปสู่จุดนั้นได้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องมีเงินเท่าพวกเขาจึงจะมีความสุขได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เลย การที่เรามีความสุขก็คือพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เมื่อเราพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เราก็รวยทันทีในวินาทีนั้น แต่ถ้าเราไม่พอใจในสิ่งที่เรามี ถึงเราจะมีเงินแสนล้าน เราก็ยังจนอยู่

{ads_seminar}

วิธีคิดที่แตกต่าง นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่าง

การนำเรื่องราวของคนเหล่านี้มาเล่าให้ฟังก็เพราะว่า คนเหล่านี้มีวิธีคิดที่น่าสนใจ

มหาเศรษฐีเหล่านี้มีวิธีคิดที่แตกต่าง จะคิดอะไรที่คนทั่วไปไม่กล้าคิด หรือ ว่ากล้าคิดแต่ไม่กล้าทำ

ท่านจะสังเกตเห็นว่าคนที่ผมเล่าให้ฟังส่วนใหญ่แล้วมีแค่คนหรือสองคนที่จบในระดับมหาวิทยาลัย เรียนในระดับปริญญาโท และ ปริญญาเอก นอกจากนั้นอย่างเจ้าของ Google ตอนที่กำลังเรียนปริญญาเอก อยู่ๆ ก็ลาออกเฉยเลย เพื่อมาสร้าง search engine อย่าง Google เพราะเขาเห็นอะไรบางอย่าง และกล้าทำ

นี่คือจุดที่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ไปในจุดที่สุดๆ เราจะต้องคิดแตกต่างจากคนทั่วไป

ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ผมเรียนหนังสือ ผมมักจะถูกสอนว่า การทำงานในหน่วยงานราชการเป็นเรื่องที่ดี มีความมั่นคง

ถามว่าดีไหม มันดีแน่นอน แต่ชีวิตเราก็จะวนเวียนอยู่อย่างนั้น เหมือนเป็นหนูปั่นจักร ต้องทำงานรับเงินเดือนไปตลอดชีวิต

หากต้องการทำในสิ่งที่เป็นตัวของเราเอง ก็ต้องออกมาทำในสิ่งที่เราต้องการ มาลุยชีวิต และ มีความสุข อาจจะไม่มีโอกาสร่ำรวยเท่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ แต่ขอให้มีกินมีใช้สบายๆ มีความสุขทุกวันเหมือนเป็นวันเสาร์ เพราะตื่นเช้ามาเราทำงาน เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ นี่แหละครับความร่ำรวยที่แท้จริง

10 มหาเศรษฐีเหล่านี้ ที่ร่ำรวยขึ้นมามีเงินหลักหมื่น หลักแสนล้าน สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน คือคนเหล่านี้คิดไม่เหมือนชาวบ้าน คิดต่างก็ทำต่าง ถ้าย้อนกลับไปดูชีวิตแต่ละคน บางคนอาจจะโดนดูถูกเหยียดหยาม เพราะฉะนั้นความแตกต่างที่สองคือ เขาแปลงการโดนดูถูกเหยียดหยามมาเป็นพลัง และ สาม เขาประสบกับผิดพลาดล้มเหลวมากมาย แต่เขาเรียนรู้จากมัน และ เดินหน้าต่อ

ทุกคนมีโอกาสมาถึงจุดนี้ได้ทั้งสิ้น ขอให้คิดแตกต่าง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด มุ่งมั่น ล้มแล้วลุกเดิน ผิดแล้วแก้ไขเรียนรู้ สักวันหนึ่งจะไปถึงจุดนั้นได้

ตอนนี้หากเรามองไปที่คนเหล่านี้แล้วคงคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเป็นแบบเขา

ผมขอบอกเลยทุกคนมีโอกาสที่เป็นไปได้ เพียงแต่เรากล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะผิดพลาด กล้าที่จะเรียนรู้ มุ่งมั่นอดทน ทุกคนสามารถไปถึงจุดนั้นได้ทั้งสิ้น อย่างเช่น สตีฟ จ๊อบ ที่เริ่มต้นธุรกิจแรกที่โรงรถ เวลาผ่านไป ด้วยการกล้าคิด กล้าทำ กล้าเสี่ยง มุ่งมั่นจนไปถึงจุดที่ยิ่งใหญ่

เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่สิ่งที่คุณอยากเป็น

คุณต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าผิดพลาด กล้าเรียนรู้ และไม่ท้อแท้ที่จะลุกขึ้นยืน และ ก้าวต่อไป

คนส่วนใหญ่ที่ไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ อาจจะกล้าคิดต่าง อาจจะกล้าทำ แต่พอล้มเหลวสักครั้งหนึ่งก็เลิก หรือใกล้ปลายทางกลับเลิกเสียอย่างนั้น ต้องกลับไปเริ่มใหม่เป็นหนูปั่นจักร

และนี่คือ สิ่งที่ผมเรียนรู้จาก 10 มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นที่สุดในโลก ในรอบทศวรรษ


Comment